svasdssvasds

อากาศร้อน! เปิดแอร์โหมด DRY กับ COOL โหมดไหนประหยัดไฟกว่ากัน?

อากาศร้อน! เปิดแอร์โหมด DRY กับ COOL โหมดไหนประหยัดไฟกว่ากัน?

ปัญหาของเรื่องแอร์วนมาอีกครั้ง เมื่อถึงหน้าร้อน และไทยเราเรียกได้ว่า ร้อนสูงสุด 44 องศากันเลยทีเดียว วันนี้ Spring จึงจะพาทุกคนมาดูการเปิดแอร์โหมดไหน ถึงจะประหยัดไฟและเริ่ดสุด

SHORT CUT

  • โหมด DRY แปลตรงตัวเลยก็คือ “โหมดทำความแห้ง” หรือ “โหมดดูดความชื้น” ในบางวันที่ฝนตกหนัก ๆ 
  • โหมด Cool ทำงานโดยการปรับอุณหภูมิห้องให้ตรงกับอุณหภูมิบนรีโมทแอร์ สามารถปรับความเร็วพัดลมได้ เหมาะกับอากาศร้อน ๆ
  • โหมด DRY ประหยัดกว่า เพราะพัดลมแอร์ไม่ได้ทำงานเพื่อดูดลมร้อนเข้ามาตลอดเวลาเหมือนกับโหมด COOL แนะว่า ให้เปิดแอร์ 26-27 องศา พร้อมพัดลม จะช่วยประหยัดถึง 10% 

ปัญหาของเรื่องแอร์วนมาอีกครั้ง เมื่อถึงหน้าร้อน และไทยเราเรียกได้ว่า ร้อนสูงสุด 44 องศากันเลยทีเดียว วันนี้ Spring จึงจะพาทุกคนมาดูการเปิดแอร์โหมดไหน ถึงจะประหยัดไฟและเริ่ดสุด

โหมด  DRY OR COOL โหมดไหนประหยัดไฟกว่า

หลาย ๆ คนคงสังเกตเห็นโหมด DRY และโหมด COOL โดยทั่วไปแล้ว โหมดการทำงานพื้นฐานของรีโมทแอร์จะมีอยู่ 4 โหมดด้วยกัน ได้แก่ โหมด Auto, โหมด Cool, โหมด Fan และโหมด Dry แต่ถ้าบ้านไหนติดแอร์รุ่นใหม่ ๆ สมัยนี้ ก็อาจเพิ่มโหมด Heat เข้ามาเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันของรีโมทแอร์ และทั้ง 2 โหมดที่ว่านั้นมีไว้เพื่ออะไร แตกต่างกันอย่างไร ? และโหมดไหนกันนะที่จะประหยัดไฟได้มากกว่ากัน ? 

อากาศร้อน ใช้โหมด DRY คือ

โหมด DRY แปลตรงตัวเลยก็คือ “โหมดทำความแห้ง” หรือ “โหมดดูดความชื้น” ในบางวันที่ฝนตกหนัก ๆ หรืออากาศหนาว ทำให้เวลาอยู่ในห้องแอร์แล้วเกิดรู้สึกอึดอัด นั่นเป็นเพราะค่าความชื้นในอากาศนั้นสูงขึ้นนั่นเอง ซึ่งโดยปกติแล้ว แอร์จะลดความชื้นในอากาศอยู่แล้ว 

แต่เมื่อใดก็ตาม ที่ไอน้ำที่ลอยอยู่ในอากาศมาเจอกับความเย็นจัดที่แผงคอยล์เย็น ก็จะเกิดความควบแน่น รวมเป็นน้ำที่หยดลงบนถาดรองน้ำแอร์ และไหลออกไปทางท่อน้ำทิ้ง ซึ่งจะทำให้อากาศในห้องแห้งลง อย่างไรก็ตาม เวลาที่ฝนตก อากาศจะเย็นอยู่แล้ว แอร์ที่เปิดไว้ทำงานได้ไม่นานก็จะตัด นอกจากความชื้นยังไม่ทันออกไปแล้ว ยังทำให้รู้สึกอัดอัดมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

โหมด DRY นี้จึงมีไว้เพื่อควบคุมความชื้นในอากาศ และทำให้แผงคอยล์เย็นที่สุดเพื่อรีดความชื้นออกไปให้ได้มากที่สุด โดยไม่สนใจตัวเลขอุณหภูมิ ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากโหมดทั่วไป

อากาศร้อน ใช้โหมด Cool คือ 

Cool modeทำงานโดยการปรับอุณหภูมิห้องให้ตรงกับอุณหภูมิบนรีโมทแอร์ สามารถปรับความเร็วพัดลมได้ เหมาะกับอากาศร้อน ๆ โหมด COOL มีหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิ แอร์จะตัดตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ หากอุณภูมิต่ำกว่า ก็จะไม่ทำงาน คือ ไม่ทำทั้งความเย็นและไม่รีดความชื้น มีแต่พัดลมที่ทำงาน  

แต่ถ้าถามว่าโหมดไหนประหยัดไฟมากกว่ากัน ? ก็ต้องเป็นโหมด DRY แน่นอนเพราะพัดลมแอร์ไม่ได้ทำงานเพื่อดูดลมร้อนเข้ามาตลอดเวลาเหมือนกับโหมด COOL แต่ประเทศไทยมีสภาพอากาศที่ร้อนจัดใน ณ ขณะนี้ ทำให้เราไม่มีโอกาสได้เปิดโหมด DRY อย่างแน่นอน ขนาดคนยังจะแย่ละแอร์จะไปไหวได้ยังไง ฉะนั้นถ้ายากเย็นจัดก็เปิดแอร์ แต่ถ้าอยากได้คนเทคแคร์ ไม่ใช่! ถ้างั้นเราก็ต้องเลือกเองว่าอยากจะใช้หมวดไหนเพราะ ทั้ง 2 โหมด แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีแค่เรื่องค่าไฟเท่านั้นที่จะประหยัดลงมานิดหน่อย
 

เปิดแอร์แบบไหนประหยัดไฟ 

แล้วจะประหยัดไฟแบบไหนได้อีกล่ะ ทาง Spring จึงขอแนะนำว่า ให้เปิดแอร์ 26-27 องศา พร้อมพัดลม การเปิดพัดลมช่วยไล่ความร้อนภายในห้องก่อนเปิดแอร์ โดยเพิ่มอุณหภูมิแอร์ไปที่ 26-27 องศาเซลเซียส จะช่วยลดอุณหภูมิลงได้ 2 องศา แต่ประหยัดไฟมากกว่าการเปิดแอร์ที่ 23-24 องศาเซลเซียส ช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึง 10% เลยทีเดียว 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related