
ฝนที่ถล่มหนักในหาดใหญ่และ 10 จังหวัดภาคใต้ช่วงพฤศจิกายน 2568 ไม่ได้เกิดจาก “ฤดูกาล” แบบเดิมอีกต่อไป แต่คือผลของ ปรากฏการณ์ ลานีญา—ตัวเร่งที่ทำให้ระบบอากาศทั้งภูมิภาคทำงานเหมือนสายพานผลิตฝนหลายวันไม่หยุด
ลานีญา: ‘เครื่องจักรผลิตฝน’ อีกหนึ่งปัจจัย ที่ซ่อนอยู่หลังมหาอุทกภัยหาดใหญ่และภาคใต้
ฝนไม่ได้ตกหนัก “ตามฤดูกาล” แต่มาตามคำสั่งของเครื่องจักรยักษ์ที่ชื่อว่า ลานีญา , ภาพน้ำที่ทะลักสูงจนมิดหลังคาในหาดใหญ่และอีกกว่า 10 จังหวัดภาคใต้ช่วงพฤศจิกายน 2568 คือสัญญาณเตือนว่าเราไม่ได้อยู่ในยุคฤดูฝนแบบเดิมอีกต่อไป ปรากฏการณ์ “ลานีญา” ถูกยกระดับจากศัพท์ภูมิอากาศ กลายเป็น ตัวการสำคัญ ที่พลิกระบบอากาศทั้งภูมิภาคให้กลายเป็นสายพานผลิตฝนต่อเนื่องนานหลายวัน
เมื่อลมเย็นจากจีน—ตัวละครเดิม—แต่บทบาทไม่เหมือนเดิม
โดยปกติ มวลอากาศเย็นจากจีนมีหน้าที่ “พาความหนาว” ลงมาให้คนไทยได้ใส่เสื้อกันหนาวบ้าง แต่ปีนี้ลานีญาเข้ามาเปลี่ยนบท ทำให้ลมเย็นกลายเป็น ผู้สร้างฝน แทน
ลานีญา ทำให้ลมค้าตะวันออกแรงขึ้นผิดปกติ ลมเหล่านี้เหมือน สายพานลำเลียงไอน้ำมหาศาล จากทะเลจีนใต้เข้าภาคใต้แบบไม่พัก แล้วเมื่อมวลอากาศเย็นแผ่ลงมาตัดกับไออุ่นที่ถูกป้อนเข้ามาอย่างหนัก ผลลัพธ์คือ “แรงยกตัว” ที่ผลักเมฆฝนจนขยายตัวใหญ่และลอยนิ่งฝังตัวอยู่บนท้องฟ้าภาคใต้หลายวันแบบไม่ยอมขยับ
นี่คือสูตรสำเร็จของ Stationary Heavy Rain หรือ “ฝนแช่” ที่อาจดูเรียบง่าย แต่ร้ายแรงกว่าพายุหลายลูกรวมกัน
ตัวเลขคือสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ 19–22 พฤศจิกายน 2568: ปริมาณฝนสะสมสูง 595 มม.ถือว่า มากกว่าสถิติปี 2543 และ 2553 ที่ทำไว้สูงสุด 515 มม.
วันที่ 22 พฤศจิกายนวันเดียว:
ที่จุดวัดน้ำ เขาคอหงส์ อ.นาหม่อม วัดได้ 365 มม. ใน 24 ชั่วโมง
ฝนระดับนี้มากเกินกว่าที่ระบบระบายน้ำธรรมชาติ—หรือแม้แต่ระบบผังเมือง—จะรับไหว คือภาวะ “300 ปีมีหน” แต่เกิดขึ้นในปี 2026
ปีนี้ หาดใหญ่ไม่ได้ท่วมเพราะน้ำหลากจากรอบเมือง ‘แต่เพราะฝนตกในเมืองโดยตรง’ นี่คือความต่างสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ครั้งนี้หนักกว่าเดิม ในอดีต น้ำท่วมหาดใหญ่มาจากน้ำหลากบนเขา → ไหลเข้าตัวเมือง
ปี 2568 ฝน “ถล่มลงตรงกลางเมือง” + น้ำหลากไหลมาสมทบ
หาดใหญ่มีภูมิประเทศเหมือน “ถาดมีขอบ” ถูกล้อมด้วยภูเขาและสิ่งปลูกสร้าง การที่ฝนลงมาในพื้นที่แบบถาดที่มีขอบเท่ากับน้ำไม่มีทางออก แม้ “คลองระบายน้ำ ร.1” จะถูกออกแบบมาตัดยอดน้ำจากต้นน้ำ แต่มัน ไม่สามารถช่วยเมื่อน้ำตกอยู่กลางเมืองเอง
เกิดสภาวะ “ล็อกน้ำ” ท่วมเร็ว ท่วมสูง และออกไม่ได้ นี่ไม่ใช่วิกฤตชั่วคราว แต่มันคือภาพจำลองของภูมิอากาศในอนาคต
ลานีญา—ในยุค Climate Change—กำลังทำงานเหมือน “บูสเตอร์” ทวีความรุนแรงทุกแบบ ทั้งปริมาณน้ำ ความแปรปรวนของลม และความสามารถของเมฆในการกักเก็บน้ำ
10 จังหวัดภาคใต้ ได้รับผลกระทบตั้งแต่ชุมพรถึงนราธิวาส
เฉพาะสงขลา ผู้ได้รับผลกระทบสูงกว่า 460,000 คน
ภาคใต้กำลังยืนอยู่ตรงจุดที่ “เหตุการณ์ 300 ปีมีหน” อาจเกิดขึ้นบ่อยขึ้นจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา
ผังเมืองแบบเดิมรับไม่ไหวแล้ว — เราต้องออกแบบเมืองที่รองรับ ‘สภาพอากาศยุคใหม่’**
วิกฤตครั้งนี้ทำให้ชัดเจนว่า ระบบระบายน้ำต้องถูกออกแบบเผื่อฝนที่ตกหนักเฉียบพลันในเมือง ผังเมืองต้องยืดหยุ่นรองรับน้ำหลากและฝนแช่ การเตือนภัยต้องเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
และที่สำคัญที่สุด—ต้องยอมรับว่า “ลานีญายุค Climate Change” ไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่กำลังเปลี่ยนภูมิอากาศไทยในระดับโครงสร้าง
คำถามที่เราต้องถามต่อคือ: ถ้าลานีญาปีนี้คือสัญญาณเตือน เมืองไทยพร้อมกับฉากทัศน์ใหม่ของภูมิอากาศแค่ไหน ?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง