ปรากฏการณ์ "Boomerang Kids" กำลังเป็นเทรนด์ที่สะท้อนสภาพสังคมและ เศรษฐกิจตกต่ำ ในปัจจุบันที่หลายคนเผชิญ ทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้นและหนี้สินที่เพิ่มพูน
มีคำกล่าวที่น่าสนใจและน่าขบคิด การกลับบ้านของคนรุ่นใหม่หรือคนวัยผู้ใหญ่หลังจากย้ายออกไปอยู่นอกบ้านด้วยตัวคนเดียวนั้น อาจทำให้พวกเขาเหล่านี้รู้สึกถึงความถอยหลัง และสูญเสียอิสรภาพที่เพิ่งได้รับมา แต่ก็มีอีกสายเช่นกันที่บอกว่า ไม่อ่ะ...ก็แค่อยากกินข้าวฝีมือแม่ทุกวันก็เท่านั้นเอง
มาเข้าใจ Boomerang Kids ไปด้วยกันดีกว่า คำว่า บูมเมอแรงคิดส์ เป็นสแลงอเมริกัน หมายถึง คนวัยหนุ่มสาวหรือผู้ใหญ่ ที่ย้ายกลับบ้านเพื่ออาศัยอยู่กับพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย หลังจากใช้ชีวิตอิสระมาระยะหนึ่ง ไม่ว่าจะกลับบ้านด้วยเหตุผลอะไร เช่น เหตุผลด้านเศรษฐกิจ สู้ค่าแรงต่ำ เงินออมต่ำ มีหนี้เยอะ ตกงาน เป็นต้น
ฟังดูเหมือนเป็นปรากฏการณ์ใหม่ แต่เปล่าเลย สภาวะทำนองนี้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงมาแล้วตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980s สภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (Great Recessions) ซึ่งย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้เกิดแค่เฉพาะในโลกตะวันเท่านั้น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และหลายประเทศในเอเชียก็เคยเจอสภาวะเหมือนกัน
เพื่อให้เข้าใจปรากฏการณ์นี้ เราจะพาไปสำรวจ Boomerang Kids ในสองวัฒนธรรมนั่นคือเอเชียกับฝั่งอเมริกัน ซึ่งมีวิถีหรือความคิดแตกต่างกันอย่างชัดเจน ขอเริ่มจากสหรัฐอเมริกา ประเทศแห่งเสรีชนกันก่อน
จากการวิเคราะห์ของศูนย์วิจัย Pew Research Center ในปี 2559 พบว่า 15% ของคนรุ่นมิลเลนเนียลอาศัยอยู่ในบ้านของพ่อแม่ และอีก 4 ปีต่อมา ตัวเลขของคนหนุ่มสาวที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่ได้เพิ่มขึ้นเป็น 52% โดยอิงจากการวิเคราะห์เดียวกันของศูนย์วิจัย Pew Research Center เมื่อกลางปี 2563 ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์สูงสุดของสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่สิ้นสุดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 2483
แปลว่าปรากฏการณ์นี้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากในอเมริกัน ซึ่งอาจสวนทางกับค่านิยมดั้งเดิมของชาวตะวันตกที่บอกว่าการย่างเท้าออกจากบ้าน แล้วไปต่อสู้กับสังคมคือก้าวสำคัญในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มันก็น่าคิดต่อใช่ไหมล่ะว่าทำไม Boomerang Kids ที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
ประหยัดเงิน มีหลายเหตุผลที่พลเมืองทั่วโลกต้องประหยัดเงินในกระเป๋า เพราะข้าวของรอบตัวแพงมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพในเมืองใหญ่ ค่าอาหาร ค่าเช่าบ้าน หรือในประเทศไทย คนส่วนใหญ่ก็หมดไปกับค่าเช่าที่แพงหูฉี่ หากต้องการอยู่ใกล้ที่ทำงาน
และถ้ามองด้วยเลนส์เรื่องการหาเงิน ปัจจุบัน งานดี ๆ (ที่ผลตอบแทนสูง) ถูกสงวนไว้สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติ และชั่วโมงบินสูงเท่านั้น คุณในฐานะแรงงานจะถูกคาดหวังให้เป็นมนุษย์ที่ช่ำช่องทั้งเรื่อง Soft Skills และ Hard Skills คนที่มีทุนก็จ่ายเพื่อพัฒนาตัวเอง แต่กับเด็กจบใหม่ที่ไม่ได้ต้นทุนหนา ถ้าไม่มีเครือข่ายที่เกื้อกูลกันได้ ก็เป็นอันต้องพ่ายไปในที่สุด
และถ้าเราย้ายมามองในมุมของนักศึกษา เหลี่ยมนี้ก็น่าสนใจ ข้อมูลบอกว่าหลังโลกเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 นักศึกษาไม่สามารถเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยได้ เพราะมหาวิทยาลัยสั่งเรียนออนไลน์ เรียนที่บ้านได้ หลายคนจึงต้องอาศัยอยู่ที่บ้าน ทั้งเพื่อความปลอดภัย และประหยัดไปในตัว
แน่นอนว่าแต่ละคนอยู่บ้านนานไม่เท่ากัน บางคนไม่กี่เดือน บางคนอาจลากยาวเป็นปี พอเรียนจบก็เข้าสู่ช่วงหางาน ระหว่างนี้ บางคนอาจบินย้ายไปอยู่ตามเมืองใหญ่ เพื่อหางาน ถ้าได้งานก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่ได้ การยังอยู่ที่บ้านก็เป็นทางเลือกที่ไม่เสียหายใช่ไหมล่ะ
“ครอบครัวเอเชียไม่เหมือนครอบครัวฝรั่ง” ถ้าไม่อธิบายประโยคนี้เลย ก็จะตีความไปได้หลายแง่หลายมุม ถ้าเป็นฝรั่งเป็นวัยรุ่นแล้วก็ย้ายออก วัยรุ่นไทยบางคนยังอยู่กับที่บ้าน (แม้ทำงานแล้ว) หรือถ้าข้ามไปตอนแต่งงาน ฝรั่งก็ไปซื้อบ้านของตัวเอง น้อยมากที่จะกลับไปอยู่กับพ่อแม่
แต่สำหรับไทย เมื่อแต่งงานแล้ว บางบ้านอาจเลือกจะย้ายไปอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยว บริหารอำนาจในบ้านกันเอง แต่ก็มีอีกส่วน (ใหญ่) ที่ฝ่ายหญิงฝ่ายชาย ย้ายไปอยู่กับครอบครัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อใช้ทรัพยากรมนุษย์ (ปู่ยาย พ่อแม่) ช่วยกันดูแลหลาน พ่อแม่ไปทำงานหาเงิน
ข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนแบบนับซ้ำ (Socio-Economic Survey หรือ SES Panel) พบว่า สัดส่วนของครัวเรือนในประเทศไทย กลุ่มที่แต่งงานแล้วและมีลูกโดยอยู่อาศัยร่วมกับพ่อแม่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการมีลูกเล็กวัย 0-5 ปี จะเพิ่มโอกาสการอยู่ร่วมกับพ่อแม่ถึงร้อยละ 32-34
ข้อค้นพบในงานวิจัยชิ้นนี้สอดคล้องกับผลการศึกษาของหลายประเทศในเอเชีย เช่น Nakamura and Ueda (1999) ที่พบว่า ในประเทศญี่ปุ่น ผู้หญิงมีลูกอ่อนที่อาศัยอยู่ร่วมกับพ่อแม่จะมีโอกาสเข้าร่วมในตลาดแรงงานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30
หรือแม้แต่ในประเทศจีน งานวิจัยของ Shen et al. (2016) ที่พบว่า ในประเทศจีน ผู้หญิงที่อาศัยอยู่ร่วมกับพ่อแม่มีโอกาสเข้าร่วมในตลาดแรงงานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 27 เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ และมีจำนวนชั่วโมงทำงานเพิ่มขึ้น 20-26 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
นี่คือปรากฏการณ์ Boomrang Kids ที่เราแนะนำให้คุณรู้จัก และเข้าใจในมิติที่ลึกกว่าแค่คำเท่ ๆ เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังอยู่กับที่บ้าน หรือย้ายกลับไปอยู่กับที่บ้าน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เศรษฐกิจ หรือบางคนแค่คิดถึงบ้าน นี่ก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้ว ซึ่งโยงไปถึงเทรนด์คนรุ่นใหม่กลับบ้านได้อีกเปราะหนึ่ง
ที่มา: สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ้งภากรณ์, Pew Reseach Center
ข่าวที่เกี่ยวข้อง