
SHORT CUT
ย้อนเรื่องราว เอเลียด คิปโชเก้ : ผู้พามนุษยชาติทะลุกำแพง 2 ชั่วโมง (เปรียบดั่งการเหยียบดวงจันทร์แห่งวงการวิ่ง)
ส่งต่อความฝันให้กับคนทั้งโลก! สิ่งที่ เอเลียด คิปโชเก เคยทำไว้ คงเทียบเท่าได้กับ การไป "เหยียบดวงจันทร์" แห่งวงการวิ่งมาราธอน
เมื่อ "เอเลียด คิปโชเก" ทลายกำแพง 2 ชั่วโมง เปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้กลายเป็นความจริง
หากประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เคยบันทึกไว้ว่า วันที่ 20 กรกฎาคม 1969 คือวันที่ นีล อาร์มสตรอง พามนุษย์ก้าวข้ามขีดจำกัดทางดาราศาสตร์ด้วยการเหยียบดวงจันทร์... วันที่ 12 ตุลาคม 2019 หรือเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ที่เวียนนา ประเทศออสเตรีย ก็ควรค่าแก่การถูกจารึกว่าเป็นวันที่ "เอเลียด คิปโชเก" พามนุษย์ชาติก้าวข้ามขีดจำกัดทางสรีรวิทยา ด้วยการวิ่งมาราธอนจบภายในเวลาต่ำกว่า 2 ชั่วโมงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ไม่เคยมีใครทำได้
1 ชั่วโมง 59 นาที 40 วินาที คือตัวเลขที่หยุดโลก ในช่วงเวลานั้น และเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันวาทะของคิปโชเก้ ที่ว่า "No Human is Limited" (มนุษย์ไร้ซึ่งขีดจำกัด) และนี่คือสิ่งที่จุดประกายต่อยอดแห่งความฝันไปได้อีกไกล
ในโลกของการวิ่ง ในระยะมาราธอนระยะทาง 42.195 กิโลเมตร คือบททดสอบความอดทนขั้นสูงสุด นับตั้งแต่โอลิมปิกสมัยใหม่ครั้งแรกในปี 1896 สถิติของมนุษย์ค่อยๆ ถูกทำลายลงตามวิวัฒนาการ แต่มีกำแพงหนึ่งที่ตั้งตระหง่านท้าทายกาลเวลา นั่นคือ "กำแพง 2 ชั่วโมง"
นักวิทยาศาสตร์การกีฬาและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกเคยลงความเห็นตรงกันว่า การวิ่งมาราธอนให้เร็วกว่า 2 ชั่วโมงนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทางชีวภาพ จนกระทั่งการมาถึงของชายชาวเคนยา ผู้เปรียบเสมือน "นักปราชญ์ในรองเท้าวิ่ง" ชื่อว่า เอเลียด คิปโชเก
แต่ลำพังเพียง "นักวิ่งที่เก่งกาจ" นั้นไม่เพียงพอ การจะทำภารกิจระดับ Moon-Landing นี้ให้สำเร็จ จำเป็นต้องมีองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบที่สุด 2 ประการ
นี่ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรก ย้อนกลับไปปี 2017 ในโปรเจกต์ Breaking2 ของ Nike ที่สนามแข่งรถมอนซา อิตาลี คิปโชเกพลาดเป้าไปเพียง 25 วินาที (ทำเวลาได้ 2:00:25 ชม.) ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นสอนให้โลกรู้ว่า สภาพอากาศ ความชื้น และจังหวะการวิ่งเพียงเสี้ยววินาที คือตัวแปรแห่งความตาย
ในวัย 34 ปี ในวันนั้น ซึ่งถือเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของจุดพีคในอาชีพนักวิ่ง คิปโชเก้เดิมพันครั้งใหม่กับโปรเจกต์ INEOS 1:59 Challenge โดยถอดบทเรียนทุกอย่างมาแก้ไข:
สนามที่ใช่: เปลี่ยนจากสนามแข่งรถที่เงียบเหงา มาเป็นสวนสาธารณะ The Prater ในกรุงเวียนนา ที่ราบเรียบ มีต้นไม้บังลม และที่สำคัญคือ "มีผู้ชม"
กองทัพ Pacemaker: การระดมพลนักวิ่งระดับ "ออลสตาร์" 41 ชีวิต (รวมถึงพี่น้องตระกูลอินเกบริกเซ่น และตำนานอย่าง เบอร์นาร์ด ลากัต) วิ่งแปรขบวนรูปหัวลูกศร (V-formation) เพื่อแหวกอากาศและลดแรงต้านลมให้คิปโชเก
เทคโนโลยี: รถนำขบวนยิงเลเซอร์สีเขียวลงบนพื้นถนน เพื่อกำหนดจังหวะความเร็วที่แม่นยำระดับวินาที ผสานกับรองเท้า Nike Prototype (Alphafly) ที่ออกแบบมาเพื่อส่งคืนพลังงานในทุกก้าว
เช้าวันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม อากาศเย็น 10 องศาเซลเซียส คิปโชเกเริ่มออกสตาร์ทด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยแต่เปี่ยมด้วยสมาธิ ตลอดระยะทาง เขาทำงานประสานกับทีม Pacemaker อย่างกับมีหัวใจและร่างกายเดียวกัน
เมื่อถึงระยะ 500 เมตรสุดท้าย... สิ่งที่น่าขนลุกที่สุดได้เกิดขึ้น ทีม Pacemaker ที่ห้อมล้อมเขามาตลอด 42 กิโลเมตร แยกตัวออกไปด้านข้าง เปิดทางให้คิปโชเกวิ่งฉายเดี่ยวเข้าสู่เส้นชัย
วินาทีนั้น เขาไม่ใช่แค่กำลังวิ่ง แต่เขากำลัง "บิน" เข้าสู่หน้าประวัติศาสตร์ใหม่ คิปโชเก้เร่งความเร็ว ชูกำปั้นทุบอก และเข้าเส้นชัยด้วยรอยยิ้ม 1:59:40 กำแพงถูกทำลายลงแล้ว แม้สถิตินี้จะไม่ได้รับการรับรองจาก IAAF เนื่องจากเงื่อนไขพิเศษ (มีการหมุนเวียน Pacer และส่งน้ำ)
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งใหญ่กว่าเหรียญรางวัล มันคือการขยายขอบเขตจินตนาการของมนุษย์ และนี่คือการส่งต่อความคิด ส่งต่อแรงบันดาลใจ ส่งต่อความฝันให้กับคนทั้งโลก
เบื้องหลังความสำเร็จที่ไม่น่าเชื่อนี้ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ แต่คือ "วินัย" คิปโชเก้ เคยกล่าวปาฐกถาที่ Oxford และยังเป็นไวรัลมาจนถึงทุกวันนี้ ว่า
"คนที่มีวินัยในตัวเองเท่านั้น จะมีอิสระในชีวิต ถ้าคุณไม่มีวินัย คุณจะเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของแพสชั่น การมีวินัยในตัวเอง คือการทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่การทำในสิ่งที่คุณแค่รู้สึกอยากทำ"
ชีวิตของเขาสะท้อนปรัชญานี้อย่างหมดจด การกินอยู่อย่างสมถะ การซ้อมที่หนักหน่วง และจิตใจที่นิ่งสงบ คือกุญแจสำคัญ
เขามองว่าวินัยคือต้นไม้ที่ต้องหมั่นรดน้ำพรวนดิน เมื่อรากฐานแข็งแรง ดอกผลแห่งความสำเร็จ—แม้จะเป็นสิ่งที่โลกบอกว่าเป็นไปไม่ได้—ก็จะเบ่งบาน
เช้าวันนี้ที่เวียนนา ไม่ใช่เพียงชัยชนะของ เอเลียด คิปโชเก หรือทีม INEOS แต่มันคือชัยชนะของมนุษย์ทุกคน
มันคือบทพิสูจน์ที่จับต้องได้ว่า เมื่อมนุษย์นำศักยภาพทางร่างกาย มาผสานกับสติปัญญาทางวิทยาศาสตร์ และขับเคลื่อนด้วยจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้... กำแพงที่สูงตระหง่านแค่ไหน ก็เป็นเพียงเส้นขีดที่รอวันให้เราก้าวข้าม
นีล อาร์มสตรอง เคยฝากฝรอยเท้าไว้บนดวงจันทร์ , ขณะที่ เอเลียด คิปโชเก ได้ฝากตัวเลข 1:59:40 ไว้ในหัวใจคนทั้งโลก เพื่อเตือนใจเราเสมอว่า "No Human is Limited"
ทุกความฝันเป็นจริงได้เสมอ!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทำไม "รันคลับ" ถึงปังทะลุกราฟ ไลฟ์สไตล์เชื่อมต่อสังคม-สุขภาพดีในยุคดิจิทัล
HOKA สร้าง Culture Hub กลางตึกเก่าร้อยปี แคมเปญ “Together, We Fly Higher”