svasdssvasds

4 ยุคสมัย ซูเปอร์แมน Superman ในโลกภาพยนตร์ - ทำไมตัวละครนี้ ยังมีเสน่ห์เสมอ

4 ยุคสมัย ซูเปอร์แมน Superman ในโลกภาพยนตร์ - ทำไมตัวละครนี้ ยังมีเสน่ห์เสมอ

4 ยุคสมัย ซูเปอร์แมน ในโลกภาพยนตร์ - ทำไมตัวละครนี้ ยังมีเสน่ห์เสมอ เพราะเหตุใด ผู้คนยังนิยมชมชอบในตัวละครนี้

อะไรทำให้ ‘ซูเปอร์แมน’ ไม่เคยตายไปจากใจคนดู ?

ซูเปอร์แมนไม่ได้เป็นเพียงตัวละครในหนังสือการ์ตูน เขาคือสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ยืนยงมากว่า 8 ทศวรรษ นับตั้งแต่การปรากฏตัวครั้งแรกบนแผ่นฟิล์มในช่วงทศวรรษ 1940 จนถึงการรีบูตครั้งล่าสุดที่กำลังกลายเป็นกระแส ภาพลักษณ์ของบุรุษเหล็กได้ถูกตีความและนำเสนอใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงสะท้อนวิสัยทัศน์ของผู้สร้างภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาบานสำคัญที่สะท้อนถึงความหวัง ความกลัว และค่านิยมของสังคมในแต่ละยุคสมัย

เราจะสำรวจวิวัฒนาการของซูเปอร์แมนบนจอภาพยนตร์ผ่าน 4 ยุคสมัยที่แตกต่างกัน

ซูเปอร์แมน เวอร์ชั่น 2025 แสดงโดย เดวิด คอเรนสเว็ต

1. ยุคก่อร่าง: จากนักสู้เพื่อสังคมสู่ผู้พิทักษ์ชาติ (1940s - 1950s)

ต้นกำเนิดของซูเปอร์แมนในปี 1938 โดยเจอร์รี ซีเกล และโจ ชูสเตอร์ มีรากฐานมาจากการเป็นคนนอก ทั้งสองเป็นบุตรหลานของผู้อพยพชาวยิวที่ต้องเผชิญกับความแปลกแยกในสังคมอเมริกัน ดังนั้น ซูเปอร์แมนในยุคแรกจึงเป็น "แชมป์เปี้ยนของผู้ถูกกดขี่" เขาต่อสู้กับนักการเมืองคดโกงและนายทุนที่เอาเปรียบ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของความขัดแย้งทางชนชั้นในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่

เมื่อตัวละครถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรก ในปี 1948 ทั้งในรูปแบบแอนิเมชันของ Fleischer Studios และภาพยนตร์ซีเรียลคนแสดง (นำโดย เคิร์ก อลิน และต่อมาคือ จอร์จ รีฟส์) ภารกิจนี้ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ แต่เมื่อสหรัฐอเมริกาก้าวเข้าสู่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็นเริ่มก่อตัวขึ้น ภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของวัฒนธรรมอเมริกันไปโดยสิ้นเชิง

บทบาทของซูเปอร์แมนจึงถูกปรับเปลี่ยน จากนักต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางสังคม กลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้พิทักษ์ "วิถีแบบอเมริกัน" (The American Way) ศัตรูของเขากลายเป็นสายลับต่างชาติและอาชญากรทั่วไป แทนที่จะเป็นผู้มีอำนาจในสังคม นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขามีความเป็นสถาบันและเป็นมิตรกับรัฐบาลมากขึ้น

ซูเปอร์แมน ปี 1978  แสดงโดย Christopher Reeve

2.  ยุคแห่งอุดมคติ-และถึงเวลาร่วงโรย (1978 - 2006)

ในปี 1978 ผู้กำกับ ริชาร์ด ดอนเนอร์ ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ด้วย Superman ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย และได้มอบภาพจำของซูเปอร์แมนที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้กับคนทั้งโลกผ่านการแสดงของ "คริสโตเฟอร์ รีฟ"

คริสโตเฟอร์ รีฟ ถ่ายทอดบทบาทของซูเปอร์แมนที่เปี่ยมด้วยความจริงใจ ความเมตตา และความหวังอันบริสุทธิ์ ดอนเนอร์ตั้งใจให้เขามีภาพลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับบุคคลสำคัญทางศาสนา เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามที่ผู้ชมสามารถยึดเหนี่ยวได้

อย่างไรก็ตาม แฟรนไชส์นี้เริ่มเสื่อมความนิยมลงในภาคต่อๆ มา Superman III (1983) เปลี่ยนไปใช้โทนที่เบาสมองและตลกขบขันมากขึ้น ขณะที่ Superman IV: The Quest for Peace (1987) แม้จะมีเจตนาที่ดีในการพูดถึงประเด็นอาวุธนิวเคลียร์ แต่กลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากปัญหาด้านงบประมาณและบทภาพยนตร์ที่อ่อนแอ ซึ่งนำไปสู่การยุติของแฟรนไชส์ชุดนี้

จากนั้น ในช่วงหลังยุค Y2K ในปี 2006 ไบรอัน ซิงเกอร์ พยายามชุบชีวิตตำนานนี้อีกครั้งด้วย Superman Returns ซึ่งนำแสดงโดย แบรนดอน เราธ์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำหน้าที่เป็นภาคต่อโดยตรงของ Superman II โดยตั้งใจที่จะคารวะยุคของคริสโตเฟอร์ รีฟ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถสร้างกระแสความนิยมได้เท่าที่ควร เนื่องจากโลกภาพยนตร์ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคที่ต้องการฮีโร่ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น

uperman Returns ซึ่งนำแสดงโดย แบรนดอน เราธ์

 

3. ยุคแห่งความสมจริงและความขัดแย้ง (2013 - 2023)

จักรวาลขยายดีซี (DCEU) ได้นำเสนอซูเปอร์แมนในมุมมองที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เริ่มต้นด้วย Man of Steel (2013) ของผู้กำกับ แซ็ค สไนเดอร์ และนำแสดงโดย เฮนรี่ คาวิลล์

นี่คือซูเปอร์แมนสำหรับศตวรรษที่ 21 ที่มีโทนเรื่องจริงจัง มืดหม่น และเน้นความสมจริง เขาไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งความหวังที่ไร้ที่ติอีกต่อไป แต่เป็นมนุษย์ต่างดาวผู้มีพลังมหาศาลที่ต้องต่อสู้กับตัวตนและตำแหน่งของตนเองในโลกมนุษย์ ภาพยนตร์ได้สำรวจผลกระทบอันรุนแรงจากการต่อสู้ของเขา และความกลัวที่มนุษย์มีต่อพลังอำนาจที่เกินควบคุม

เฮนรี่ คาวิลล์ แสดงเป็น ซูเปอร์แมน ในช่วงเวลา 2013-2021

ภาพลักษณ์ที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความขัดแย้งนี้ถูกสานต่อใน Batman v Superman: Dawn of Justice (2016) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกทางความคิดเห็นของสังคมที่มีต่อเขาอย่างชัดเจน นี่คือการตีความซูเปอร์แมนในฐานะ "เทพเจ้า" ที่ต้องเผชิญกับความไม่ไว้วางใจจากมนุษย์ที่เขามุ่งมั่นจะปกป้อง

4. อนาคตบทใหม่: การกลับสู่รากเหง้า ปี 2025 

ปัจจุบัน แฟรนไชส์ซูเปอร์แมนกำลังจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งภายใต้การดูแลของเจมส์ กันน์ และปีเตอร์ ซาฟราน ในจักรวาลดีซี (DCU) ใหม่ ภาพยนตร์เรื่อง Superman (2025) จะนำแสดงโดย เดวิด คอเรนสเว็ต และกำลังเป็นกระแสอยู่ในเวลานี้ 

ภาพยนตร์ที่กำลังแรงและเป็นกระแสอยู่ในเวลานี้ ได้รับการโอบกอดจากผู้ชม และนักวิจารณ์เป็นอย่างดี โดยหนังจะเน้นไปที่ช่วงชีวิตวัยหนุ่มของคลาร์ก เคนท์ ในฐานะ "นักข่าวฝึกหัด" ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงความตั้งใจที่จะกลับไปสำรวจแง่มุมความเป็นมนุษย์ของตัวละครให้มากขึ้น อาจเป็นการลดทอนภาพลักษณ์ความเป็นเทพเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นในยุคก่อนหน้า และหันกลับไปให้ความสำคัญกับบทบาทของเขาในฐานะผู้แสวงหาความจริงและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม

 

ทั้งนี้ การเดินทางของซูเปอร์แมน บนจอภาพยนตร์คือหลักฐานที่ชัดเจนว่าตัวละครนี้มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวเข้ากับยุคสมัยได้อย่างน่าทึ่ง จากฮีโร่ของชนชั้นแรงงาน สู่สัญลักษณ์แห่งอุดมคติในยุคสงครามเย็น จากนั้นกลายเป็นเทพเจ้าผู้ขัดแย้งในยุคแห่งความคลางแคลงใจ และกำลังจะก้าวสู่บทบาทใหม่ที่เน้นความเป็นมนุษย์มากขึ้น ความสามารถในการถูกตีความใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่านี่เอง คือเหตุผลที่ทำให้ซูเปอร์แมนยังคงเป็นหนึ่งในตัวละครที่สำคัญที่สุดในวัฒนธรรมสมัยนิยมมาจนถึงทุกวันนี้

ที่มา : dc  mindonmap fayobserver  librarypoint

 

related