รีวิวภาพยนตร์ ลักกันวันตาย ภาพยนตร์เรื่องล่าสุด จาก โปรเจ็ค ทีไทยทีมันส์ 2025 ของ Netflix - เมื่อศีลธรรมถูกท้าทายด้วยเงินในบัญชีคนตาย และมีหลากหลายประเด็นที่น่าขบคิด-ต่อยอด
ในยุคที่ความมั่นคงทางการเงินเปราะบางกว่าที่เคย "ความรักไม่มีค่ามากกว่าทอง" และชนชั้นกลางกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด “ลักกันวันตาย” จาก Netflix เล่าเรื่องในเหลี่ยมมุมที่น่าสนใจ ผ่านเรื่องราวอาชญากรรมระทึกขวัญที่ไม่ได้เน้นเพียงความตื่นเต้น แต่ขุดลึกลงไปในจิตใจมนุษย์ มีความเป็น "ฟิล์มนัวร์" - พร้อมตั้งคำถามที่บาดลึกว่า “หากการกระทำผิดศีลธรรมเป็นไปเพื่อความอยู่รอดของคนที่เรารัก...เส้นแบ่งของความถูกต้องอยู่ตรงไหน?”
ภาพยนตร์ ลักกันวันตาย พาเราไปสำรวจชีวิตของ ‘โต’ (ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์) รองผู้จัดการธนาคารวัยกลางคนที่กำลังเผชิญหน้ากับพายุชีวิตรอบด้าน: ตำแหน่งงานที่ไม่มั่นคงอีกแล้วจากการเข้ามาของเทคโนโลยี, ภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวที่เกินตัวไปมาก และความต้องการที่จะส่งเสียลูกสาวให้ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด และมื่อวันหนึ่ง โอกาสที่มาในรูปแบบของความตายก็ปรากฏขึ้น เมื่อเขาพบบัญชีเงินฝาก 30 ล้านบาทของลูกค้าที่เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ชนิดที่ศพกลายเป็นอาหารของแมว (ในฉากเปิดเรื่อง)
การตัดสินใจร่วมกับ ‘เพชร’ (วชิรวิชญ์ วัฒนภักดีไพศาล) ลูกน้องรุ่นใหม่ไฟแรง เพื่อ “ยักยอก” เงินก้อนนั้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่อะไรหลายๆอย่างที่ตามมา ลุกลามเป็นไฟไหม้ลามทุ่ง และ ยุติเรื่องราวต่างๆได้ยากเหลือเกิน
แก่นกลาง ภาพยนตร์ "ลักกันวันตาย" ไม่ใช่การโจรกรรมที่ซับซ้อนอะไร แต่มันคือการพังทลายของมโนธรรม ตัวละครถูกบีบคั้นด้วยสถานการณ์จนต้องเลือกระหว่าง "ศีลธรรม" และ "ความอยู่รอด"
ภาพยนตร์ตั้งคำถาม - การอ้างเหตุผลอย่าง "ทำเพื่อลูก" สามารถเปลี่ยนการกระทำที่ผิดให้กลายเป็นสิ่งที่ชอบธรรมขึ้นมาได้หรือไม่ ?
ตัวละครโตไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นอาชญากรโดยสันดาน เขาคือภาพแทนของคนชั้นกลางจำนวนมากที่พยายามทำทุกอย่างถูกต้อง แต่กลับถูกระบบเศรษฐกิจและแรงกดดันทางสังคมบดขยี้ การตัดสินใจของเขาจึงไม่ใช่เรื่องของความโลภเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายเพื่อรักษาคุณค่าของตัวเองในฐานะพ่อและหัวหน้าครอบครัว แต่ยิ่งดิ้นรนในหนทางที่ผิด ศีลธรรมในใจก็ยิ่งถูกกัดกร่อน จนในที่สุดเขาก็สูญเสียตัวตนไปทีละน้อย
สิ่งที่ทำให้ ภาพยนตร์ "ลักกันวันตาย" โดดเด่นคือการสร้างบรรยากาศที่หม่นหมองและกดดัน และหนังพาคนดูจมดิ่งไปกับชะตากรรมของตัวละครได้อย่างจมดิ่ง
หัวใจสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้หนักแน่นและสมจริงคือการแสดงอันยอดเยี่ยมของทีมนักแสดง ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ ในบท ‘โต’ ได้ยอดเยี่ยม เขาสื่อสารความเปราะบาง ความสิ้นหวัง และการพังทลายจากภายในผ่านแววตาและภาษากายที่ละเอียดอ่อน เผลออีกจากต้นเรื่องไปถึงปลายเรื่อง เขากลายเป็นใครอีกคนไปแล้ว
ขณะที่ วชิรวิชญ์ วัฒนภักดีไพศาล ในบท ‘เพชร’ ก็สร้างมิติที่ซับซ้อนให้กับตัวละครได้ดี เคมีที่เข้ากันระหว่างนักแสดงทั้งสองทำให้ความสัมพันธ์แบบลูกพี่-ลูกน้องที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดได้แนบเนียน
นอกจากนี้ นักแสดงสมทบอย่าง เล็ก ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ และ ฟาติมา เดชะวลีกุล ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี มีซีนเป็นของตัวเอง
แม้ในรายละเอียดของบทอาจมีบางจุดที่ชวนให้ตั้งคำถามถึงความสมเหตุสมผล ในบางจุด , แต่หากเราดูเพลินๆ ไป ก็ไม่ติดอะไร - แต่ทิศทางของผู้กำกับที่เลือกเล่าเรื่องในโทนดราม่าจริงจังและหนักหน่วง คือการตัดสินใจที่ถูกต้องและทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเอกลักษณ์ "ลักกันวันตาย" ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์อาชญากรรม แต่เป็นบทบันทึกโศกนาฏกรรมของคนธรรมดาที่พยายามจะเอาตัวรอดในโลกที่โหดร้าย
มันทิ้งคำถามสุดท้ายไว้ให้ผู้ชมขบคิดว่า ในสังคมที่บีบคั้นให้เราต้องดิ้นรนถึงเพียงนี้ "ความดี" และ "ความถูกต้อง" ยังคงเป็นสิ่งที่มีค่าพอให้ยึดถืออยู่หรือไม่ ?