svasdssvasds

คาเมรอน : เมื่อการทุ่มทั้งชีวิตให้ Avatar ไม่ใช่การเสียเวลา แต่คือการสร้าง ปรากฏการณ์

คาเมรอน : เมื่อการทุ่มทั้งชีวิตให้ Avatar ไม่ใช่การเสียเวลา แต่คือการสร้าง ปรากฏการณ์

ชีวิตของเจมส์ คาเมรอน เลือกที่จะทุ่มเทเวลาเกือบทั้งชีวิตให้กับ Avatar จึงไม่ใช่การเสียเวลาเปล่า แต่เป็นการอุทิศตนเพื่อผลักดันขอบเขตของศิลปะภาพยนตร์ เทคโนโลยี และการเล่าเรื่อง ให้ก้าวไปไกลกว่าที่ใครจะจินตนาการถึง

ในโลกภาพยนตร์ มีเส้นแบ่งบางๆ ระหว่าง "ผู้กำกับยอดฝีมือ" กับ "นักสร้างปรากฏการณ์" แต่สำหรับ เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ดูเหมือนเขาจะก้าวข้ามเส้นนั้นไปไกลจนกลายเป็นข้อยกเว้นของทุกกฎเกณฑ์

ท่ามกลางกระแสความสำเร็จถล่มทลายของ Avatar: Fire and Ash (อวตาร ภาค 3) ที่กำลังเดินหน้ากวาดรายได้ทั่วโลก คำถามหนึ่งได้ถูกจุดประเด็นขึ้นในโลกออนไลน์ คำถามที่ท้าทายการตัดสินใจตลอดชีวิตการทำงานของเขาว่า “คนระดับเจมส์ คาเมรอน กำลังเสียเวลาชีวิตไปกับการทำ เล่าเรื่อง ชาวนาวี  เรื่องเดียวนี้หรือไม่ ?”

คำตอบของเจมส์ คาเมรอน ไม่เพียงแต่สะท้อนตัวตนที่ชัดเจน แต่ยังฉายภาพให้เห็นว่าทำไมผลงานของเขาจึงไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ แต่คือหมุดหมายทางประวัติศาสตร์หนัง 

คาเมรอน : เมื่อการทุ่มทั้งชีวิตให้ Avatar ไม่ใช่การเสียเวลา แต่คือการสร้าง ปรากฏการณ์ Credit ภ่าพ REUTERS
 

 “มันไม่ใช่เรื่องของคุณ”: สิทธิในการเลือกของศิลปิน

ช่วงที่ผ่านมา  มีการถกเถียงในโลกออนไลน์ว่า หากเจมส์ คาเมรอนไม่จมอยู่กับโลกของชาวนาวี เขาอาจสร้างภาพยนตร์ระดับมาสเตอร์พีซเรื่องอื่นๆ ได้อีกมากมายตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ประเด็นนี้ถูกส่งตรงถึงเจ้าตัวในการสัมภาษณ์กับ Hollywood Reporter และคำตอบของเขาก็ตรงไปตรงมาตามสไตล์

"มันคือการตัดสินใจของผม ไม่ใช่ของคุณ... มันเหมือนกับคุณไปบอกใครสักคนว่า 'พระเจ้า ฉันหวังว่าเธอคงไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายคนนั้นนานขนาดนั้นนะ' คือมันไม่ใช่เรื่องของคุณเลย"

คาเมรอนยืนยันชัดเจนว่า นี่คือ สิ่งที่เขาเต็มใจเลือก แม้เขาจะยอมรับว่าเคยมีช่วงเวลาแห่งความลังเลใจ ย้อนกลับไปหลังความสำเร็จของ Avatar ภาคแรก เมื่อปี 2009 เขาเคยเปิดใจกับ GQ ว่าเขาเกือบจะไม่ไปต่อ ในภาคที่ 2 

"มันมีช่วงว่างประมาณปีครึ่งที่ผมไม่รู้ว่าอยากสร้าง Avatar ต่อไหม... ผมคิดว่าผมทำหนังที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ไปแล้ว ทำไมไม่พอใจแค่จุดนั้น ?" คาเมรอนกล่าวในตอนนั้น เขามีทางเลือกที่จะไปสำรวจมหาสมุทร ทำงานเพื่อความยั่งยืน หรือสร้างหนังแนวอื่น แต่ท้ายที่สุด สัญชาตญาณของ "นักเล่าเรื่อง" ก็ดึงเขากลับมา เพราะเขารู้ว่าเรื่องราวของแพนดอร่ายังไม่จบสิ้น

คาเมรอน : เมื่อการทุ่มทั้งชีวิตให้ Avatar ไม่ใช่การเสียเวลา แต่คือการสร้าง ปรากฏการณ์ Credit ภาพ AFP

อวตาร: นิยามใหม่ของคำว่า ‘ปรากฏการณ์’ 

หากจะวัดความสำเร็จด้วยตัวเลข เจมส์ คาเมรอน คือ "ตัวพ่อ" ผู้ไร้คู่ต่อ การมาถึงของ Avatar: Fire and Ash ในปี 2025 ไม่เพียงแต่เขย่าบ็อกซ์ออฟฟิศอีกครั้ง แต่กำลังจะสร้างสถิติใหม่ไปเรื่อยๆ 

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า หากภาค 3 นี้ทำรายได้ทะลุ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามเป้า จะส่งผลให้ เจมส์ คาเมรอน กลายเป็นผู้กำกับคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มีภาพยนตร์ติดอันดับ Top 10 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลถึง 4 เรื่อง (ได้แก่ Avatar ภาค 1-3 และ Titanic)

กลยุทธ์ของคาเมรอนเปรียบเสมือน "นักวิ่งมาราธอน" หนังของเขาอาจไม่ได้พุ่งทะยานจนกราฟหักในวันแรกเสมอไป แต่มีความ "อึด" ในการยืนโรงฉาย (Long legs) ดึงดูดผู้ชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนคู่แข่งค่อยๆ หลุดจากวงโคจรไป ความเชื่อมั่นของผู้ชมที่มีต่อชื่อ "เจมส์ คาเมรอน" นั้นทรงพลังพอที่จะทำให้สตูดิโอไฟเขียวให้เขาสร้างภาค 4 และ 5 ต่อไปอย่างไม่มีสะดุด

เบื้องหลังความมหัศจรรย์: นวัตกรรมที่ต้องแลกด้วยเวลา
เหตุผลที่คาเมรอนถูกมองว่า "ใช้เวลานาน" ในการสร้างแต่ละภาค ไม่ใช่เพราะความล่าช้า แต่เพราะเขาต้อง "ประดิษฐ์เทคโนโลยีขึ้นมาใหม่" เพื่อรองรับจินตนาการของเขา

ตั้งแต่ปี 1994 ที่เขาเขียนบท Avatar แต่ต้องพับเก็บไว้เพราะเทคโนโลยียังตามไม่ทัน จนถึงยุคปัจจุบัน คาเมรอนคือนักบุกเบิกตัวจริง:

Performance Capture: เขาไม่ได้แค่จับการเคลื่อนไหว แต่พัฒนา Head Rig เพื่อจับ "อารมณ์" และแววตาของนักแสดง
Fusion Camera System: กล้อง 3 มิติแบบเลนส์คู่ที่ให้ภาพลึกสมจริงเหมือนตาเห็น
การถ่ายทำใต้น้ำ (Underwater Performance Capture): ในภาค The Way of Water และ Fire and Ash เขาปฏิเสธการใช้เทคนิคแห้ง (Dry-for-wet) แต่สร้างแทงค์น้ำยักษ์และให้นักแสดงฝึกดำน้ำตัวเปล่าจริงๆ เพื่อความสมจริงทางฟิสิกส์

ทุกรายละเอียด ตั้งแต่ระบบนิเวศ 6 ขาของสัตว์ในแพนดอร่า ไปจนถึงภาษา Na'vi ที่มีไวยากรณ์จริง สะท้อนว่านี่คืองานคราฟต์ที่ต้องใช้เวลาบ่มเพาะ ไม่ใช่งานโรงงานที่เร่งผลิตได้

คาเมรอน : เมื่อการทุ่มทั้งชีวิตให้ Avatar ไม่ใช่การเสียเวลา แต่คือการสร้าง ปรากฏการณ์

มนุษย์ vs AI: หัวใจของศิลปะในมุมมองคาเมรอน

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เริ่มเข้ามามีบทบาทในวงการศิลปะ คาเมรอนกลับยืนหยัดในปรัชญาที่ว่า "ความคิดสร้างสรรค์คือจิตวิญญาณของมนุษย์"

แม้หนังของเขาจะดูไฮเทคที่สุดในโลก แต่เขายืนยันว่า ไม่ได้ใช้ AI สร้างตัวละครหรือฉาก เขาเลือกใช้ศิลปินกว่า 3,000 ชีวิตในการเนรมิตโลกแพนดอร่า คาเมรอนเปรียบ AI ว่าเป็นเพียง "พู่กันวิเศษ" ที่ช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น แต่แรงบันดาลใจและการตัดสินใจต้องมาจากมนุษย์

"AI ไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ มันทำได้เพียงประมวลผลจากข้อมูลเก่า" คาเมรอนชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญว่า หากไม่มีวิสัยทัศน์ตั้งต้นของเขาเมื่อหลายสิบปีก่อน AI ในวันนี้ก็คงไม่สามารถ "เจนเนอเรท" โลกของอวตารออกมาได้


การที่เจมส์ คาเมรอน เลือกที่จะทุ่มเทเวลาเกือบทั้งชีวิตให้กับ Avatar จึงไม่ใช่การเสียเวลาเปล่า แต่เป็นการอุทิศตนเพื่อผลักดันขอบเขตของศิลปะภาพยนตร์ เทคโนโลยี และการเล่าเรื่อง ให้ก้าวไปไกลกว่าที่ใครจะจินตนาการถึง

เขาพิสูจน์แล้วว่า ในโลกที่หมุนเร็วและฉาบฉวย ความละเมียดละไมและการยืนหยัดในวิสัยทัศน์ของตนเอง ยังคงเป็นกุญแจสำคัญที่ไขประตูสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน และเปลี่ยน "ภาพยนตร์" ให้กลายเป็น "ปรากฏการณ์" ได้อย่างแท้จริง

ที่มา : masterclass thewaltdisneycompany  latimes  Fusion Camera  nme

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related