svasdssvasds

เลดี้ไดอาน่า: นางฟ้าไร้ปีกที่ต่อสู้กับภาพความเกลียดชังต่อ "ผู้ป่วย HIV"

เลดี้ไดอาน่า: นางฟ้าไร้ปีกที่ต่อสู้กับภาพความเกลียดชังต่อ "ผู้ป่วย HIV"

1 ธ.ค. ของทุกปี ตรงกับวันเอดส์โลก ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่าเป็นวันสำคัญเพื่อใช้รำลึก สนับสนุน แสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันต่อเราและผู้ป่วยติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยโรคเอดส์ วันนี้จึงชวนสำรวจชีวิตของเจ้าหญิงไดอาน่า ผู้อุทิศชีวิตเพื่อโรคเอดส์

“ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครคิด

เราสามารถจับมือ โอบกอด และสัมผัสร่างกายของพวกเขาได้

เราสามารถอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกับพวกเขาได้

หรือแม้แต่การวิ่งเล่นในสนามเด็กเล่นเดียวกันกับพวกเขา เราก็ทำได้”

1 Dec World AIDS Day

วันที่ 1 ธันวาคม นอกจากจะบอกให้เรารู้ว่าได้เริ่มเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี องค์กรอนามัยโลก (WHO) ยังได้กำหนดให้วันนี้เป็น วันเอดส์โลก (World AIDS Day) โดยเริ่มตั้งแต่ปี 1988 เพื่อเริ่มสร้างความตระหนักรู้ การสนับสนุน และการโอบรับผู้ป่วยติดเชื้อ HIV แถมยังย้ำเตือนว่า โรคนี้ยังอยู่กับเราไม่ไปไหน

เรื่องราวที่หยิบยกมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ เป็นฉากทัศน์ใหญ่ ๆ ของเจ้าหญิงจากเกาะอังกฤษคนหนึ่ง ที่ภายใต้รสขมของชีวิต เธอยังมีเรื่องอื่น ๆ ให้เราได้แหวกว่ายไปสำรวจด้วย เธอคนนั้นคือ “ไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์” ผู้พลิกมายาคติของคนในสังคมของสาธารณชนที่มีต่อโรคเอดส์ด้วยการจับมือ

ไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ Cr. Wikipedia

จุดเริ่มต้นเชื้อ HIV ระบาดหนัก

“แม้แต่ผู้คนที่โบสถ์ ก็คงไม่มีใครอยากจับมือกับผม” Ryan White

จุดเริ่มต้นของการติดเชื้อ HIV ไม่แน่ชัดนัก เก่าสุดที่มีการบันทึกไว้คือ ชายคองโก ในปี 1959 ทว่าไม่สามารถทราบรายละเอียดเรื่องอาการ และการเสียชีวิตโดยรายละเอียด

ในช่วงปลายทศวรรษ 1980s คือยุคสมัยที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV อย่างหนักหน่วง จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ตั้งแต่ปี 1981 ถึง 1990 พุ่งสูงถึง 100,777 ราย เหตุที่การแพร่ระบาดครั้งนี้ดำเนินไปแบบไม่มีการหยุดยั้งก็เพราะ ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจที่มากเพียงพอ

แถมการรักษาพยาบาล หรือการคิดค้นยาต้านไวรัสก็ยังไม่ได้รับการพัฒนา เพราะการแพร่ระบาดเกิดขึ้นไวมาก และยังเป็นเรื่องใหม่ในยุคสมัยนั้น นอกจากนี้กลุ่มคนที่กลายเป็นกระโถนของสังคมในเรื่องนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “เกย์”

การแพร่ระบาดของเชื้อ HIV ในยุค 80s Cr. Gallup News

สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ และแสดงอาการออกมา มนุษย์ผู้นั้นจะกลายเป็นขยะน่ารังเกียจในทันที ผู้คนไม่เข้าใกล้ เพราะเชื้อฝังหัวกันว่า หากไปสัมผัสโดนตัวของผู้ป่วยจะได้รับเชื้อ HIV มา เรื่องราวของ Ryan White อธิบายภาพของสถานการ์โรคเอดส์ในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี

ในปี 1982 CDC ได้ประกาศว่าการแพร่ระบาดของ AIDS ได้ลุกลามไปยัง 15 ประเทศทั่วโลกแล้ว ทำให้คนในสังคมตระหนกเข้าไปใหญ่ ความเกลียดชังเพิ่มมากขึ้น แถมมีการเรียกกันว่า “โรคเกย์” (Gay Disease)

CDC ประกาศเรื่อง AIDS Cr. Old Dominion University Worldpress

ไดอาน่า ต่อสู้เพื่อผู้ป่วยติดเชื้อ HIV และเอดส์อย่างไร?

ไดอาน่า ในยุคที่เชื้อ HIV แพร่ระบาดเธอเข้าพิธีอภิเษกสมรส และมีบุตรแล้ว 2 คน แม้เราจะทราบกันดีว่า ชีวิตรักของเธอและเจ้าฟ้าชายชาลส์ในขณะนั้น กำลังละหองละแหงกัน แต่เธอก็ยังเดินหน้าทำโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อ HIVและผู้ป่วยโรคเอดส์ยังหนักแน่น

มีคนสังเกตว่า ไดอาน่าคือสมาชิกของราชวงศ์อังกฤษเพียงคนเดียว ที่ไปคลุกคลีกับผู้ป่วยในยุคสมัยที่ ข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV กำลังหนาหู แต่เธอรู้ดีว่า เชื้อ HIV ไม่สามารถติดผ่านการสัมผัสได้ เธอจึงได้ไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ

ไดอาน่าใกล้ชิดผู้ป่วย Cr. Groundviews

ในปี 1987 โรงพยาบาลมิลเดิลเซ็กซ์ (Middlesex Hospital) ในสหราชอาณาจักรได้จัดงานเปิดวอดใหม่เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยโรคเอดส์ ทางโรงพยาบาลเล็งเห็นว่าไดอาน่าเป็นสตรีผู้ให้ความสำคัญและไม่รังเกียจเดียจฉานต่อผู้ป่วย จึงได้ส่งจดหมายเชิญไปยังไดอาน่า

มีเรื่องเล่าว่าบรรดาเลขาส่วนตัว พยายามบอกปัดและล็อบบี้กันทุกวิถีทางเพื่อไม่อยากให้ไดอาน่าเดินทางไปร่วมงานนี้ แต่ไม่สำเร็จ เพราะทันทีที่ไดอาน่าทราบเรื่องจดหมายเชิญ เธอก็ตอบตกลงไปอย่างทันควัน

แม้ในใจจะกังวลอยู่ก็ตาม แต่เธอตัดสินใจแล้วว่า เธอต้องใช้โอกาสนี้เพื่อส่งสัญญาณออกไปให้สังคมได้รับรู้ว่า การใกล้ชิด สัมผัสต่อผู้ป่วยติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยโรคเอดส์ ไม่ได้อันตรายอะไร

ไดอาน่าจับมือกับผู้ป่วย Cr. Insider

ในงานวันนั้น มีสำนักข่าวหลายสำนัก ตบเท้ามารอเก็บภาพเธอเต็มหน้าโรงพยาบาล เพราะหากเราติดตามชีวิตของไดอาน่ากันมาบ้างก็พอจะรู้ว่า ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็จะอยู่ในสายตาสื่อตลอดเวลา แล้วยิ่งมาเยือนโรงพยาบาลรักษาโรคติดต่อเช่นนี้ หากคิดในมุมของสื่อ เหตุการณ์นี้ถือเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ

มิเพียงเข้าร่วมงาน ไดอาน่าเดินไล่จับมือกับผู้ป่วยชายโดยไม่สวมใส่ถุงมือ จึงเป็นที่มาของการจับมืออันลือลั่น ช่วยคนในรูปด้านบนชื่อว่า Ivan Cohen วัย 32 กะรัต ผู้ป่วยรายนี้ตกลงว่าจะยอมถ่ายรูปด้วย แต่มีข้อแม้ว่าต้องถ่ายจากด้านหลัง

ทันทีที่ไดอาน่ายื่นมือออกไปสัมผัสกับผู้ป่วย ช่างภาพก็ลั่นชัตเตอร์ และรายงานการทลายเส้นครั้งนี้ไปทั่วโลก เรื่องราวจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ระบุว่า ไดอาน่าแสดงความเห็นอกเห็นใจ พร้อมจับมือผู้ป่วยโรคเอดส์ระยะสุดท้ายอย่างมั่นใจ

ไดอาน่าใกล้ชิดกับผู้ป่วย Cr. People

ไดอาน่า ในฐานะเจ้าหญิงแห่งเวลส์ เธอใช้ยศฐา ชื่อเสียง การรุมตอมของสื่อได้อย่างชาญฉลาด เธอพินิจแล้วว่า การที่เธอออกไปทำโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเอดส์ สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้มากมายมหาศาล

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ความก้าวหน้าทางการแพทย์ ความรู้ความเข้าใจต่อเรื่องเอดส์ก็เพิ่มมากขึ้นในสังคม ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยโรคเอดส์ มิใช่สิ่งแปลกประหลาดของสังคมอีกต่อไป พวกเขาเหล่านั้นสามารถใช้ชีวิตได้เฉกเช่นคนปกติ

ตลอดชีวิตอันแสนสั้น ไดอาน่าเดินสายร่วมงานตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อให้กำลังใจกับผู้ป่วยติดเชื้อ HIV และโรคเอดส์อยู่เป็นประจำ เธอมิเพียงไปแต่ในนาม เธอเข้าไปคลุกคลี กอด พูดคุย สัมผัสตัวอย่างเป็นกันเอง ซึ่งถามตามตรงว่าในยุคนั้นใครจะทำ อย่างน้อยก็มี 'ไดอาน่า' หนึ่งคน

ทว่า การตีตราเกิดขึ้นแล้ว มิสามารถลบล้างได้ ความเกลียดชังต่อผู้ป่วยติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยโรคเอดส์ยังคงมีอยู่ในสังคม จะมากจะน้อยก็ถือว่ายังมีอยู่ จะเป็นเรื่องของพวกเราทุกคนในการออกมาร่วมรณรงค์ส่งเสียงให้กับพวกเขาเหล่านั้นได้ยินว่า เรายืนเคียงข้างพวกเขา เช่นเดียวกันกับ “ไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์”

 

 

ที่มา: tatler

        sfgmc

        time

เนื้อหาที่น่าสนใจ

related