svasdssvasds

ประวัติศาสตร์คำว่า "แม่" ทำไมคำว่า "แม่" ทั่วโลกนิยมใช้ M หรือ ม

ประวัติศาสตร์คำว่า "แม่" ทำไมคำว่า "แม่" ทั่วโลกนิยมใช้ M หรือ ม

ชวนเข้าใจประวัติศาสตร์ของคำว่า "แม่" ทำไมทั่วโลกนิยมใช้ M หรือ ม.ม้า ในการเรียกแม่เหมือนกันเกือบทั้งโลก คำว่าแม่ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อไหร่

เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่ทั่วโลกมีภาษาที่แตกต่างกันนับพันรูปแบบ แต่คำว่า “แม่” นั้นกลับใช้ ม.ม้า ในการออกเสียงเป็นหลักเหมือนกันเกือบทั้งโลก เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไม เวลาเรียกแม่ มักใช้ ม หรือ M ในการออกเสียง?

ที่มาของคำว่า “แม่” ตามหลักวิทยาศาสตร์

หลายแหล่งข้อมูล ได้ให้ข้อมูลตรงกันในเรื่องการศึกษาปี 1971 ของนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่งชาวรัสเซีย นามว่า โรมัน จาคอบสัน (Roman Jacobson) ที่เขาได้ทำการศึกษาการออกเสียงในเด็ก และหนึ่งในนั้น เขาก็สงสัยเหมือนกันกับเรา ว่าทำไม เด็กมักเรียก “แม่” ว่า mama ได้ก่อน papa และทำไมต้อง ม.ม้า หรือ M แทนที่จะเป็นพยัญชนะอื่น นั่นจึงทำให้เขาสนใจหาคำตอบให้กับข้อสงสัยนี้

เจคอบอธิบายว่า เสียงสระ เป็นเสียงที่เปล่งออกมาง่ายสุดสำหรับมนุษย์ นั่นหมายความว่า เสียงสระ เป็นเสียงที่ทารกสามารถเปล่งออกมาได้ตั้งแต่เกิด (เสียงร้องไห้) เมื่อทารกเปล่งเสียงออกมาเรื่อย ๆ ทารกจะเริ่มทดลองเปล่งเสียงอื่น ๆ ด้วย

ประวัติศาสตร์คำว่า \"แม่\" ทำไมคำว่า \"แม่\" ทั่วโลกนิยมใช้ M หรือ ม

โดยเสียงต่อมาที่ง่ายสำหรับทารกคือ การเปล่งเสียงขณะปิดปาก หรือ เสียงริมฝีปาก (labial sound / bilabial nasal) เช่น /m/ /p/ /b/ โดยไม่ต้องใช้ฟันหรือลิ้นในการออกเสียงมาก ทารกมักจะรวมพลังเพื่อเปล่งเสียงร่วมกับพยัญชนะใหม่ ๆ แล้วผ่อนลงเป็นเสียงสระ ซึ่งมักจะเป็น “ah” เป็นเสียงที่ง่ายสุด เมื่อเด็กเปล่งเสียงฝึกซ้ำ ๆ ตามธรรมชาติของทารก หรือที่เรียกว่า babbling บ่อย ๆ คุณจะได้ยินเสียงที่พัฒนาการเป็น mama / papa นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นที่มา ที่เมื่อเด็กออกเสียง m พ่อแม่สมัยก่อนจึงหยิบยกคำเหล่านี้มาใช้ เพื่อให้ลูกเรียกตนเองได้ง่ายและไวขึ้น เพื่อทำความรู้จักและรับรู้ความต้องการซึ่งกันและกัน

แล้วทำไมเป็น mama มากกว่า papa

ช่วงแรก พ่อแม่หลายคนมักจะลุ้นและแข่งกัน ว่าคำแรกที่ลูกพูด จะเป็นคำว่า mama หรือ papa กันนะ แต่ส่วนใหญ่ เด็กมักจะพูดคำว่า mama ได้ก่อน papa นั่นเลยทำให้พ่อ ๆ หลายคนน้อยใจ แต่ไม่ต้องน้อยใจไป เพราะเรื่องนี้มีคำตอบทางวิทยาศาสตร์อยู่

ประวัติศาสตร์คำว่า \"แม่\" ทำไมคำว่า \"แม่\" ทั่วโลกนิยมใช้ M หรือ ม

ในการศึกษาของจาคอบบอกว่า การที่เด็ก พูด /m/ ได้ แทนที่จะเป็น /p/ /b/ เป็นเพราะหน้าอกแม่ หรือเต้านมนั่นเอง อย่างที่บอกไปก่อนหน้าว่า m เป็นเสียงที่ทารกออกเสียงได้ง่ายที่สุด ดังนั้น เมื่อเวลาทารกกินนมแสนอร่อย สัมผัสหน้าอกอุ่น ๆ ของคุณแม่ เด็กจะจดจำว่านี่แหละคือแหล่งอาหารของฉัน เมื่อได้กินของอร่อย เด็กจะเปล่งเสียง Mmmm… ออกมา เป็นการแสดงความพึงพอใจ

เด็กทารกไม่สามารถรู้ได้ว่าคุณชื่อ หม่าม๊า ดาด๊า หรือ ปาปา ดังนั้น เมื่อเด็กเรียกพ่อว่า “แม่” เด็กจะรู้สึกหงุดหงิด เพราะเขารู้ว่า คุณไม่ได้เป็นแม่ที่แท้จริง และการที่เด็กเรียกหา mama ไม่ได้หมายความว่าเด็กกำลังเรียกหาแม่ แต่เจ้าตัวน้อยกำลังเรียกหาหน้าอกที่มีน้ำนม ไม่ใช่หน้าอกแบน ๆ มีขนของพ่อ

แต่บางงานวิจัยก็มองว่า คำว่า “ดาดา” ก็มักเป็นคำแรกของทารกเช่นกัน จากการศึกษาในทารก 900 คน อายุ 8-16 เดือน จากครอบครัวที่ใช้ภาษาอังกฤษ กวางตุ้ง และจีนกลาง ผลพบว่าเด็กพูดว่า “ดาดา” เป็นคำแรก

คำว่า “แม่” ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อไหร่?

แน่นอนว่า คำว่า “แม่” นั้นมีหลากหลายภาษา ดังนั้น มันจึงมีหลากหลายที่มา ตามแต่ถิ่นกำเนิด แต่จากการค้นคว้า อ้างอิงจากพจนานุกรมออนไลน์ Etymonline พจนานุกรมนิรุกติศาสตร์ที่บันทึกประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของคำศัพท์มากกว่า 50,000 คำ ได้อธิบายรากศัพท์ของคำว่า “แม่” เอาไว้

โดยกล่าวว่า คำว่า “แม่” ในหลากหลายภาษา เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน สันสกฤต อินเดีย มีรากมาจากคำดั้งเดิม คือคำว่า méh₂tēr ในภาษาถิ่นโบราณ (Proto-Indo-European หรือ PIE) ที่ถูกใช้เมื่อประมาณ 4,000-6,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และต่อมาในภาษาอังกฤษยุคก่อน (Old English) ใช้คำว่า mōdor (อ่านว่า โมะดอร์) จากนั้นก็วิวัฒนาการณ์มาเป็น mother ในภาษาอังกฤษสมัยกลาง และก็ถูกพัฒนาไปตามที่เรากันอย่างแพร่หลายและหลากหลายอยู่ทุกวันนี้ทั่วโลก

Cr.Illustration by Natalie Matthews-Ramo/Slate

หรือหากอ้างอิงตามพจนานุกรมอ็อกซ์ฟอร์ด คำว่า 'mother' ในปัจจุบันมีต้นกำเนิดมาจากภาษาเยอรมัน มาจากคำว่า 'moder' ซึ่งต่อมากลายเป็น 'mutter' ในภาษาเยอรมัน และ 'mōdor' ในภาษาอังกฤษ หากย้อนกลับไปไกลกว่านั้น คำว่า 'moder' ในภาษาเยอรมัน มาจากภาษากรีก 'mētēr' (หมายถึงครรภ์) ซึ่งต่อมากลายเป็น 'māter' ในภาษาละติน

คำว่า “แม่” เชื่อมโยงกับความเชื่อและศาสนา

บางครั้ง เราก็ใช้คำว่า แม่ เพื่อขยายความยิ่งใหญ่และการนับถือบางสิ่ง เช่น แม่น้ำ แม่ซื้อ แม่ทัพ รวมถึงความเป็นแม่ในหลักศาสนา เช่น พระแม่ (Mother Goddess) ที่หลายวัฒนธรรมทั่วโลกยกย่องเทพธิดาหรือพระแม่ในฐานะผู้สร้างและผู้ปกป้อง รวมไปถึงสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ เช่น พระแม่ปารวตีในศาสนาฮินดู เทพีอามะเทราสุในศาสนาชินโต และพระแม่ธรณีในศาสนาพุทธเป็นต้น

พระแม่ธรณี Cr.Chainwit., via Wikimedia Commons

จริง ๆ คำว่า “แม่” ยังสัมพันธ์กับความเชื่อโบราณด้วยเช่นกัน นั่นจึงส่งผลให้บางพื้นที่ที่มีวัฒนธรรมคล้าย ๆ กัน เรียกคำว่า “แม่” คล้ายคลึงกันด้วย เช่น ภาษาไทยได้รับอิทธิพลมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต โดยคำว่า “มารดา” คล้ายคลึงกับคำว่า “มาตา” ในภาษาบาลี หรือในประเทศใกล้เคียงกันอย่างไทย ใช้คำว่า “แม่” ลาวใช้คำว่า “อีแม่” เวียดนาม ใช้คำว่า “แม๊” และเมียนมา ใช้คำว่า “อะ เม” นี่คือการผสมผสานของวัฒนธรรมที่มีมาอย่างยาวนาน

“แม่” คำสั้น ๆ แต่ยิ่งใหญ่

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปเพียงใด คำว่า ‘แม่’ ยังคงเป็นมากกว่าคำเรียกขาน มันคือสัญลักษณ์ของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข แหล่งพลังใจที่ไม่สิ้นสุด และรากเหง้าที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราเสมอ ในสังคมปัจจุบัน ‘แม่’ ไม่ได้หมายถึงเพียงผู้ให้กำเนิด แต่ยังอาจหมายถึงผู้ที่คอยโอบอุ้ม ดูแล และเป็นที่พึ่งพิงทางใจให้เราในทุกช่วงชีวิต ดังนั้น ไม่ว่า “แม่” ในบริบทของคุณจะเป็นใคร แต่การที่คุณเรียกเขาว่าแม่ แสดงว่าคุณเคารพ นับถือ คนๆนั้นด้วยใจจริง

ที่มาข้อมูล

The Week

ETYMONLINE

Wild about there

Sky History

Word Smart

Wikipedia

Studies on Child Language and Aphasia by Roman Jakobson

Live to Live

Spacebar

related