Hawker Chan เรื่องราวของเชฟมิชลินผู้เคยสาบานจะไม่ขึ้นราคาแม้ได้ดาว แต่สุดท้ายก็แพ้ให้กับต้นทุนที่พุ่งสูง
ในปี 2016 ชื่อของ ชาน ฮอน เหม็ง (Chan Hon Meng) หรือที่คนทั่วโลกจดจำในนาม Hawker Chan ดังไปไกลเกินกว่าที่เขาเคยคาดฝันไว้ เมื่อร้านเล็ก ๆ ของเขา Hong Kong Soya Sauce Chicken Rice & Noodle ได้รับรางวัลดาวมิชลิน 1 ดาว กลายเป็นหนึ่งในสองร้านสตรีทฟู้ดในสิงคโปร์ที่ถูกบันทึกชื่อไว้ และยิ่งไปกว่านั้น อาหารจานเอกของเขาซึ่งขายเพียง 2 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 50 บาท ยังถูกยกให้เป็น “อาหารมิชลินที่ถูกที่สุดในโลก”
หลังจากได้รางวัล เชฟชานต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมไก่มากถึง 180 ตัวต่อวัน ทำงานวันละเกือบ 17 ชั่วโมง และแทบไม่มีเวลาพัก แต่ถึงแม้ลูกค้าจะต่อคิวยาวเหยียดและความโด่งดังทำให้เขามีโอกาสขยายกิจการ เขากลับยืนยันชัดเจนว่าจะไม่ปรับขึ้นราคาอาหาร “มันไม่แฟร์ที่จะขึ้นราคาเพียงเพราะผมได้รางวัล” เขาเคยกล่าวไว้อย่างตรงไปตรงมา พร้อมเล่าว่าแม้ซัพพลายเออร์จะขึ้นราคาวัตถุดิบมาแล้วถึงสี่ครั้งในเจ็ดปี ทั้งน้ำมันพืช เนื้อหมู ก๊าซ และค่าเชื้อเพลิง แต่เขาก็ยังคงแบกรับต้นทุนเอาไว้เอง เพราะไม่อยากให้ลูกค้าต้องเดือดร้อน “ผมจะพยายามแบกรับไปจนกว่าจะไม่ไหวจริง ๆ” คือคำพูดที่สะท้อนความตั้งใจของเขาในวันนั้น
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น Hawker Chan ได้รับการรีแบรนด์และกลายเป็นเครือข่ายร้านอาหาร มีทั้งสาขาในสิงคโปร์และต่างประเทศ เขากลายเป็นตัวแทนของภาพฝันว่า “อาหารริมทางก็สามารถก้าวขึ้นสู่เวทีโลกได้” แต่ความกดดันก็ตามมาเช่นกัน การขยายกิจการทำให้มีเสียงวิจารณ์ว่ารสชาติไม่เหมือนเดิม และสุดท้ายในปี 2021 Michelin Guide ก็ถอดดาวออกจากร้านของเขา ทำให้วันนี้ Hawker Chan ไม่ได้ถือสถานะเป็นร้านมิชลินอีกต่อไป
แม้จะไม่เหลือดาวมิชลิน แต่ข่าวคราวของเขายังถูกจับตามองอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อปี 2022 เมื่อสื่อท้องถิ่น Shin Min Daily รายงานว่า Hawker Chan ปรับราคาขึ้นอย่างกะทันหันถึงกว่า 40% ลูกค้าประจำคนหนึ่งที่ไปทานที่สาขา Plaza Singapura ถึงกับตกใจเมื่อเห็นว่าข้าวหมูกรอบที่เคยขาย 5.80 ดอลลาร์สิงคโปร์ กลายเป็น 8.20 ดอลลาร์ โดยสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ “ไข่ต้มครึ่งฟอง” จนกลายเป็นประเด็นขำขันว่าอาจเป็น “ไข่ที่แพงที่สุดในสิงคโปร์” ไม่เพียงเท่านั้น เมนูหลักอย่างข้าวมันไก่ซีอิ๊วก็ขึ้นราคาจาก 5.50 ดอลลาร์เป็น 6.80 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นราว 25% ขณะที่เมนูอื่น ๆ เช่น ข้าวหมูแดงและข้าวซี่โครงหมูก็ขยับขึ้นมากกว่า 40% เช่นกัน
โฆษกของร้านยืนยันว่าการขึ้นราคามาจากภาระต้นทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งราคาน้ำมันพืช เนื้อหมู ค่าแก๊ส และค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นต่อเนื่อง พร้อมชี้ว่าหากต้นทุนวัตถุดิบกลับมาลดลง ร้านก็พร้อมจะปรับราคาลงอีกครั้ง แต่สำหรับลูกค้าที่เคยจดจำ Hawker Chan ว่าเป็นอาหารมิชลินราคาถูกที่สุดในโลก นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนความจริงในธุรกิจอาหารอย่างแท้จริง
ที่มา : todayonline / goodyfeed
ข่าวที่เกี่ยวข้อง