
เมื่อศรัทธากลายเป็นอาวุธทางการเมือง ทำไม ‘สาธุ 2’ นโยบุญ และ พุทธ Politics ถึงเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามอง กับการกะเทาะเปลือกวงการสงฆ์
การกลับมาของ "สาธุ 2" บน Netflix ไม่ใช่แค่การกลับมาเพื่อเล่าเรื่องต่อ แต่มันคือหลักฐานของความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย
ซีรีส์ สาธุ 2 ที่ว่าด้วยเรื่องของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนวัดให้เป็นบริษัทสตาร์ทอัพเรื่องนี้ ได้รับไฟเขียวให้ไปต่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ "สาธุ" สามารถแหกกฎนี้ได้ และในซีซันที่ 2 นี้ มีความน่าสนใจอะไรซ่อนอยู่ภายใต้จีวรและสูทของนักการเมือง
เหตุผลที่ Netflix ตัดสินใจเดิมพันต่อกับ "สาธุ" ไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่มาจากข้อมูล (Data-driven decision) และบริบททางสังคมที่แข็งแรง
พลังของตัวเลขและกระแสสังคม: ภาคแรกไม่ได้แค่ครองแชมป์อันดับ 1 ในไทย แต่ยังเจาะเข้าสู่ชาร์ตผู้ชมทั่วเอเชียและระดับโลก (Non-English TV Charts) สิ่งนี้พิสูจน์ว่าประเด็น "พุทธพาณิชย์" คือภาษาสากลที่ทั่วโลกเข้าใจ นอกจากนี้ การเกิด "มีม" และการถกเถียงในโซเชียลมีเดียยังสะท้อนว่า ซีรีส์ได้แตะต้องจุดที่เปราะบางแต่เป็นความจริงที่คนไทยอยากพูดถึง
การเล่าเรื่องแบบสากล (Global Narrative): บทของสาธุในภาคแรก ถูกออกแบบมาให้มีโครงสร้างแบบซีรีส์ตะวันตก คือ "ปลายเปิด" (Open-Ended) และทิ้งปมใหญ่ไว้ (Cliffhanger) ต่างจากละครไทยยุคเก่าที่เน้นความสมบูรณ์ในตอนจบ การปูทางสู่จักรวาลที่ใหญ่ขึ้นจากวัดเล็กๆ สู่อำนาจระดับชาติ ทำให้การสร้างภาคต่อเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
กลยุทธ์การสร้างแฟรนไชส์: การที่ซีรีส์เรื่องนี้เป็น Netflix Original จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรื่องแรกๆ ที่ได้ไปต่อ สะท้อนวิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้าง IP (Intellectual Property) ที่แข็งแรง คล้ายกับโมเดลความสำเร็จของซีรีส์เกาหลีอย่าง Squid Game
หากภาคแรกคือการตั้งคำถามกับระบบจัดการเงินในวัด สาธุ 2 คือการขยายขอบเขตไปสู่สิ่งที่ทรงอิทธิพลและอันตรายยิ่งกว่า นั่นคือ "ระบบอุปถัมภ์ทางการเมือง"
ในซีซัน สาธุ 2 ผู้กำกับ วรรธนพงศ์ วงศ์วรรณ ผู้กำกับ เลือกที่จะผลักตัวละครหลักทั้งสาม—วิน (เจมส์-ธีรดนย์), เกม (พีช-พชร) และ เดียร์ (แอลลี่-อชิรญา)—ออกจากพื้นที่ปลอดภัย เข้าสู่เกมที่พวกเขาไม่ได้เป็นคนคุมกติกาอีกต่อไป
จากหนี้สิน สู่เดิมพันด้วยชีวิต: ปมขัดแย้งขยับจากแค่การหาเงินใช้หนี้ มาเป็นการถูกบีบบังคับโดย "ส.จ.เอ๋" (โดนัท-มนัสนันท์) ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ให้ทำ "เมกะโปรเจกต์บุญ" เพื่อฟอกเงินและขยายฐานเสียง นี่คือภาพสะท้อนสังคมไทยที่ชัดเจน ที่งานบุญบังหน้ามักมีวาระทางการเมืองซ่อนเร้น
การค้นหาตัวตนของ 'พระดล': จุดที่น่าสนใจที่สุดอาจอยู่ที่ตัวละคร "พระดล" ที่เลือกจะสึกออกมาเป็นฆราวาส การเดินทางของเขาคือการตั้งคำถามที่ลึกซึ้งว่า ศรัทธาที่แท้จริงต้องอยู่ในวัด หรือต้องออกไปเผชิญความจริงข้างนอก?
โทนหนังที่เปลี่ยนไป : ความเป็นดราม่า-ทริลเลอร์ จะเข้มข้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความกดดันทางจิตใจ (Psychological Pressure) ของตัวละครที่ต้องเผชิญกับระบบที่กัดกินความเป็นมนุษย์ จะเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนเรื่องราว
สำหรับผู้ชมระดับสากล หรือคอซีรีส์ตะวันตก และในมุมมองสื่อต่างประเทศ อาจมองเห็นเงาสะท้อนของ Ozark (ซีรีส์อาชญากรรมชื่อดังของ Netflix) อยู่ใน สาธุ 2
แม้บริบทจะต่างกัน—เรื่องหนึ่งคือการฟอกเงินให้แก๊งคาร์เทล แก๊งค้ายาเสพติด อีกเรื่องคือการฟอกเงินผ่านศรัทธา—แต่ทั้งสองเรื่องแชร์ DNA เดียวกัน คือการเล่าเรื่องของ "คนธรรมดา" ที่ฉลาดและมีความสามารถ แต่ก้าวพลาดจนถลำลึกเข้าสู่โลกอาชญากรรมที่ตนเองควบคุมไม่ได้
ความน่าสนใจคือ ในขณะที่ Ozark เล่นกับความมืดมนของจิตใจมนุษย์ผ่านธุรกิจคาสิโนและยาเสพติด สาธุ กลับเลือกเล่นกับสิ่งที่ดูขาวสะอาดที่สุดอย่าง "ศาสนา" ซึ่งเมื่อถูกบิดเบือน มันกลับกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและน่ากลัวยิ่งกว่าอาวุธใดๆ
สาธุ 2 จึงไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงความบันเทิง แต่กำลังทำหน้าที่เป็น "กระจกบานใหญ่" ที่ส่องกลับมายังสังคมไทย ตั้งคำถามถึงเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในนามของความดี ว่าแท้จริงแล้ว ใครคือผู้ได้รับผลประโยชน์? และศรัทธาของเรากำลังถูกใช้เป็นบันไดสู่อำนาจของใครบางคนอยู่หรือไม่
สำหรับผู้ชม นี่คือซีรีส์ที่ไม่ได้ท้าทายแค่ระบบ แต่ท้าทาย "ความเชื่อ" ของพวกเราทุกคน
ที่มา : collider vitalthrills springnews springnews
ข่าวที่เกี่ยวข้อง