svasdssvasds

ทำงานไม่เกิน 8 ชม.ต่อวัน มีอยู่จริงหรือแค่พิธีกรรม ทำไมบางประเทศทำได้

ทำงานไม่เกิน 8 ชม.ต่อวัน มีอยู่จริงหรือแค่พิธีกรรม ทำไมบางประเทศทำได้

สุขภาพพัง งานพัง วนลูปไป? ทำความเข้าใจเหตุผลที่ มนุษย์ออฟฟิศ ไทยต้องทำงานหนักเกิน 8 ชม. ขณะที่บางประเทศมีสมดุลชีวิตที่ดี

บางทีปัญหาที่แบกรับอยู่ หรือสภาพเศรษฐกิจ ก็บีบบังคับให้พนักงานต้องกอดงานที่ทำอยู่เอาไว้ให้แน่น เพราะการที่ยังมีงานทำอยู่ทุกวันคือความรู้สึกปลอดภัยทางใจรูปแบบหนึ่ง ทั้งปลอดภัยต่อเงินในกระเป๋า และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เราต้องแบกไว้

เมื่อมีชนักติดหลังแบบนี้ มันก็ทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า “อะไรก็ได้ อะไรก็ยอม” คืองานหนักก็ได้ เจ้านายขอให้ช่วยงานล่วงเวลาก็ได้ แม้เกิน 8 ชม.ต่อวัน หรือ 48 ชม. ต่อสัปดาห์ตามที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดไว้ก็ตาม

ทำงานไม่เกิน 8 ชม.ต่อวัน มีอยู่จริงหรือแค่พิธีกรรม ทำไมบางประเทศทำได้

หรือบางที ก่อนเริ่มงานตกลงกันไว้ว่าทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ แต่พอทำจริงกลับเพิ่มเป็น 6 วันเสียอย่างนั้น แม้ไม่ผิดกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ที่กำหนดว่าพนักงานไม่ควรทำงานเกิน 48 ชม.ต่อสัปดาห์ แต่มันก็รู้สึกเหมือนถูกหลอกกลาย ๆ ใช่ไหม

ไทย - ญี่ปุ่น ประเทศที่ทำงานไม่เกิน 8 ชม.ต่อวันคือ พิธีกรรม

เมื่อเจอกับสภาวะ “อะไรก็ได้ อะไรก็ยอม” ไปเรื่อย ๆ จะหนีก็ไม่ได้ ลาออกก็ไม่กล้า นานเข้าสุขภาพจิตเสีย พลังกายหมด work life balance ที่พูดกันเหมือนไม่มีอยู่จริง รายงานของ OECD/ILO ระบุว่าปี 2022 คนทำงานในไทยเฉลี่ยทำงาน 42 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และประมาณ 17% ของกลุ่มแรงงานทำงาน 49 ชั่วโมงขึ้นไป/สัปดาห์

ขณะที่ การจัดอันดับของบริษัท Kisi ในปี 2565 พบว่า กรุงเทพฯ จัดอยู่ในอันดับที่ 5 จาก 100 เมืองของประเทศทั่วโลกที่มีผู้คนทำงานหนักเกินไป (Most Overworked Cities) รวมทั้งยังมีพนักงานประจำกว่า 15.1% ทำงานล่วงเวลามากกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

ทำงานไม่เกิน 8 ชม.ต่อวัน มีอยู่จริงหรือแค่พิธีกรรม ทำไมบางประเทศทำได้

ครูคือหนึ่งในอาชีพที่ทำงานหนัก งานติดพันเยอะ งานวิจัยเมื่อปี 2023 ซึ่งทำการสำรวจครู 400 คนโรงเรียนทั่วจังหวัดชลบุรี พบว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียดมากที่สุดคือ ภาระงานทำให้พวกเขาต้องทำเงินเกิน 8 ชม.ต่อวัน และเหตุผลอื่น ๆ เช่น แรงกดดันด้านเวลา ไม่มีความพึงพอใจในงาน เป็นต้น

ทำงานไม่เกิน 8 ชม. ไม่ได้มีแค่ที่ไทยเท่านั้น แต่ที่ญี่ปุ่นปัญหานี้ก็รุนแรงไม่แพ้กัน วัฒนธรรมการทำงานของคนญี่ปุ่นคือ ทำงานหนัก = ขยัน ยิ่งอยู่ดึกยิ่งดี ค่านิยมแบบนี้นำไปสู่การเสียชีวิตจากการทำงานหนัก หรือที่เรียกว่า Karoshi Syndrome

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น เปิดเผยเมื่อปี 2024 ว่ามีผู้เสียชีวิต 1,304 เคส ที่ได้รับการรับรองจากทางการว่าเสียชีวิตเพราะทำงานหนัก และพบว่าผู้ที่ป่วยเป็น Karoshi Syndrome มักทำงาน เกิน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

และอีกหนึ่งมุมที่อยากกล่าวถึงคือการที่ทำงานล่วงเวลาส่งผลเสียในมิติใดบ้าง อย่างแรกคือ ประสิทธิภาพลดลงในระยะยาว พนักงานที่ทำงานหนักเกินไปจะเกิดภาวะหมดไฟ (Burnout) ทำให้ความคิดสร้างสรรค์และคุณภาพของงานลดลง

ขาดแคลนแรงงานรุ่นใหม่ เพราะคนรุ่นใหม่มักให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance มากขึ้น วัฒนธรรมที่ทำงานหนักเกินไปอาจทำให้ประเทศนั้นไม่น่าสนใจสำหรับคนวัยทำงานรุ่นใหม่และแรงงานต่างชาติที่มีทักษะสูง

เมื่อครู่คือประเทศที่ การทำงานไม่เกิน 8 ชม.ต่อวันเป็นแค่พิธีกรรม ต่อไปนี้เราจะพาไปดูประเทศที่ทำได้จริงกันบ้าง วิธีคิด วัฒนธรรม กฎหมาย ของบ้านเมืองเขากำหนดไว้อย่างไร ทำไมพนักงานในประเทศเหล่านี้ ทำงานได้ตรงตามที่กฎหมายกำหนด และนายจ้างก็ไม่เอารัดเอาเปรียบ แล้วมันส่งผลดีต่อชีวิตและสุขภาพจิตอย่างไร

 

ตัวอย่างประเทศที่เคร่งครัดเรื่องเวลาการทำงาน

  • ฝรั่งเศส

ในมุมกฎหมาย ชั่วโมงทำงานปกติ 35 ชั่วโมง/สัปดาห์OT ได้แต่ต้องไม่เกิน 48 ชม./สัปดาห์ และเฉลี่ยไม่เกิน 44 ชม./สัปดาห์ใน 12 สัปดาห์ และยังมีกฎหมาย Right to Disconnect คือลูกจ้างไม่จำเป็นต้องตอบอีเมล/โทรศัพท์นอกเวลางาน นอกจากนี้ GDP per hour worked ของฝรั่งเศสอยู่ในกลุ่ม Top 10 ของโลก สิทธิการลาพักร้อน อย่างน้อย 5 สัปดาห์/ปี สิทธิลาป่วย & สิทธิลาคลอด/เลี้ยงดูบุตรค่อนข้างยาว

ทำงานไม่เกิน 8 ชม.ต่อวัน มีอยู่จริงหรือแค่พิธีกรรม ทำไมบางประเทศทำได้

ปัจจัยที่ทำให้ฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมการทำงานที่ดีนั้นมีหลายมิติ สหภาพแรงงานที่เข้มแข็งในเดนมาร์กและฝรั่งเศสมีบทบาทสำคัญในการเจรจาต่อรองกับนายจ้างเพื่อปกป้องสิทธิและสวัสดิการของพนักงาน รวมถึงการกำหนดชั่วโมงการทำงานที่เป็นธรรม

รวมถึงภาครัฐเองก็มีนโยบายที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชากรวัยทำงานอย่างต่อเนื่อง เช่น การให้สิทธิวันลาพักร้อนที่ยาวนาน, สวัสดิการลาคลอด, และการสนับสนุนให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการทำงาน

 

  • เดนมาร์ก

ในมุมกฎหมาย ชั่วโมงทำงานสูงสุด 45 ชม./สัปดาห์ แต่ส่วนใหญ่ทำ 30-36 ชม. เท่านั้น มีกฎหมาย Part-time Employment Law ลูกจ้างขอลดชั่วโมงได้โดยไม่เสียสิทธิ์สวัสดิการ นอกจากนี้ GDP per hour worked สูงกว่าประเทศที่ทำงานชั่วโมงเยอะ เช่น เกาหลีใต้/ไทย และถ้าทำงาน part-time ได้สิทธิประโยชน์เกือบเท่า full-time (ประกันสังคม, วันลาพักร้อน)

ทำงานไม่เกิน 8 ชม.ต่อวัน มีอยู่จริงหรือแค่พิธีกรรม ทำไมบางประเทศทำได้

ปัจจัยที่ทำให้เดนมาร์กมีวัฒนธรรมการทำงานที่ดีนั้นมีหลายมิติ เดนมาร์กวัฒนธรรมองค์กรของเดนมาร์กให้ความสำคัญกับการ ไว้วางใจพนักงาน ให้บริหารจัดการเวลาของตัวเองได้ หลายบริษัทมีการทำงานแบบยืดหยุ่น (Flexible working hours) และให้ลูกจ้างสามารถทำงานจากที่บ้านได้

 

อนาคตพนักงานไทย ทำงานน้อยลง?

และสำหรับประเทศไทยนั้น วานนี้ (24 ก.ย. 2568) ที่ประชุมรัฐสภาได้ผ่านการพิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานทั้ง 2 ฉบับ ที่เสนอโดยพรรคประชาชนในวาระที่ 1 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับมีสาระสำคัญดังนี้

ร่างฯ ที่นำเสนอโดย จรัส คุ้มไข่น้ำ สส.ชลบุรี เขต 8 พรรคประชาชน มุ่งปรับปรุงกำหนดระยะเวลาทำงาน วันหยุดประจำสัปดาห์ สิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปี

  • กำหนดให้เวลาทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (จากเดิม 48 ชั่วโมง) เว้นแต่งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ต้องไม่เกิน 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
  • ลูกจ้างต้องมีวันหยุดประจำสัปดาห์ไม่น้อยกว่า 2 วัน (จากเดิม 1 วัน) ระยะห่างกันไม่เกิน 5 วัน
  • ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน มีสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีไม่น้อยกว่า 10 วันทำงาน (จากเดิมทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดไม่น้อยกว่า 6 วัน)

 

ร่างฯ ที่นำเสนอโดย วรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ที่มุ่งปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน

  • กำหนดให้การจ้างงานมีความเท่าเทียมในทุกด้าน นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างเรื่องความพิการ เพศสภาพ ศาสนา ความเชื่อ หรือทัศนคติทางการเมือง
  • ลูกจ้างหญิงมีสิทธิลาเนื่องจากมีประจำเดือน ไม่เกิน 3 วันต่อเดือน โดยไม่ให้ถือเป็นวันลาป่วยและไม่นับรวมวันหยุดที่มีในระหว่างลา
  • ลูกจ้างมีสิทธิลาไปดูแลบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลใกล้ชิด ไม่เกิน 15 วันทำงานต่อปี กรณีที่ลาตั้งแต่ 5 วันทำงานขึ้นไป นายจ้างอาจให้ลูกจ้างแสดงใบรับรองแพทย์หรือใบมรณบัตรของบุคคลที่ลาไปดูแล
  • การให้นมบุตรในที่ทำงาน กำหนดให้มีสถานที่ที่เหมาะสมและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็น เพื่อให้ลูกจ้างสามารถให้นมบุตรหรือบีบเก็บน้ำนมในที่ทำงานไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ในช่วง 8 ชั่วโมงของการทำงาน ตลอดระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปีหลังคลอด

 

ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, OECD

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related