ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา สั่งดำเนินคดีหนักเอาผิดแก๊งโจ๋ ที่ก่อเหตุตะลุมบอนทะเลาะววิวาทหน้าห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลห้วยแกลงทั้งข้อหาทำร้ายร่างกายและบุกรุกสถานที่ราชการ
ความคืบหน้า กรณีกลุ่มวัยรุ่นจากพื้นที่บ้านป่าเพ็ชร ยกพวกบุกเข้าไปภายใน รพ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา และเข้าชกต่อยตะลุมบอนกันกับวัยรุ่นบ้านทับสวายที่มาเยี่ยมเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บ หลังทะเลาะวิวาทหน้าเวทีคอนเสริตภายในงานย่าโม โดยเหตุตะลุมบอนเกิดขึ้นที่บริเวณด้านหน้าห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา
ล่าสุด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งให้ตำรวจภูธรนครราชสีมาดำเนินคดีขั้นเด็ดขาด โดยเมื่อวันที่ 12 เม.ย. พลตำรวจตรี วัชรินทร์ บุญคง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมาได้เดินทางไปยังรพ.ห้วยแถลง เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจแก่แพทย์และพยาบาล พร้อมสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากนั้นได้เดินทางไปยัง สภ.ห้วยแถลง พร้อมเรียกประชุมพนักงานสอบสวนและชุดสืบสวน
จากนั้นได้สอบปากคำ 4 วัยรุ่นที่บุกเข้าไปใน รพ. ที่ผู้ปกครองทั้ง 4 คน ได้พาเข้ามอบตัวเมื่อช่วงสายวานนี้ ประกอบด้วย
1. นาย สันติ อินทรา หรือ ก็อต อายุ 29 ปี
2. นาย พิทักษ์ ศรีสัมฤทธิ์ หรือ บาส อายุ 25 ปี,
3. นาย ทุ่งทอง ราศา หรือ อั่ง อายุ 29 ปี
4. นาย ศรณรงค์ สุดตาซ้าย หรือ เป้ อายุ 23 ปี ทั้งหมดเป็นชาวบ้านป่าเพ็ชร ต.ห้วยแถลง อำเภอห้วยแถลง และเป็นคนนำกลุ่มเด็กและเยาวชนกว่า 20 คน เข้าไปก่อเหตุในโรงพยาบาล
โดยผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ให้การรับสารภาพและรู้สึกสำนึกผิด จึงได้นำกระเช้าเข้าขอโทษกับเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลไปก่อนหน้านี้
จากการสอบปากคำ นายสันติ ซึ่งเป็นคนที่เข้าไปทำร้ายร่างกายกลุ่มวัยรุ่นคู่กรณีตามที่เห็นในคลิปวีดีโอได้ให้การว่า คืนเกิดเหตุตนเองมาเที่ยวงานย่าโมที่สนามหน้าที่ว่าการอำเภอกับเพื่อนๆ ขณะกำลังดูดนตรีและเต้นรำกันอยู่หน้าเวทีได้เกิดเขม่นกับ นายยุทธศักดิ์ บุญธรรม อายุ 23 ปี กลุ่มวัยรุ่นบ้านทับสวาย
และนายยุทธศักดิ์ฯได้เข้ามาต่อยตนก่อนทำให้ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นตนเองจึงไปพบแพทย์ที่ รพ.ห้วยแถลง และได้มาเจอกับกลุ่มของนายยุทธศักดิ์ฯอีกครั้งที่รพ. จึงได้มีปากเสียงกัน ตนโมโหจึงได้เข้าไปชกต่อยตามเหตุการณ์ในคลิปวีดีโอที่ปรากฏ เเต่ยืนยันไม่มีเจตนาที่จะบุกรุกโรงพยาบาล
ด้าน พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครราชสีมา กล่าวว่า จะดำเนินคดีกับกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ และข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการในยามวิกาล และจะดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป