SHORT CUT
เจาะลึกถึงโอกาสที่ เวียดนามกับบททดลอง Entertainment Complex บทเรียนจากคาสิโนสู่โมเดลเศรษฐกิจใหม่ จะประสบความสำเร็จได้ไหม
การที่รัฐบาลเวียดนามอนุมัติโครงการ Van Don Integrated Casino and Tourism Complex ในจังหวัดกว๋างนิงห์ ด้วยมูลค่าลงทุนกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7.3 หมื่นล้านบาท) ไม่ใช่เป็นเพียงการลงทุนขนาดมหึมา แต่คือบทสรุปของยุทธศาสตร์ที่ผ่านการไตร่ตรองมานานนับทศวรรษ โครงการนี้กำลังจะเปลี่ยนโฉมเขตเศรษฐกิจพิเศษเวินโดนให้กลายเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวใหม่ และตอกย้ำสถานะของเวียดนามในฐานะผู้เล่นคนสำคัญของอุตสาหกรรม Entertainment Complex ในเอเชีย
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เวียดนามได้วางตนเองเป็น "สนามทดลอง" สำหรับธุรกิจ Integrated Resorts (IRs) หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ครบวงจรอย่างเงียบๆ แต่หนักแน่น ท่ามกลางกระแสต่อต้านทางสังคมที่ไม่ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย แต่สิ่งที่ทำให้เวียดนามแตกต่าง คือการเลือกใช้แนวทางที่สุขุมและรอบคอบ
แทนที่จะเปิดเสรีในทันที เวียดนามกลับเลือกใช้โมเดล "โครงการนำร่อง" (Pilot Project) เพื่อเก็บข้อมูลจริงจากภาคสนาม ศึกษาผลกระทบทางสังคม และปรับแก้กฎระเบียบไปทีละขั้นตอน วิธีการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการออกแบบโมเดลที่สมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและบริบททางวัฒนธรรมของตนเอง
จุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์เริ่มต้นขึ้นด้วย พระราชกฤษฎีกา 03/2017/ND-CP ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เปิดทางให้พลเมืองเวียดนามที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป สามารถเข้าใช้บริการคาสิโนได้ในโครงการที่รัฐบาลอนุมัติเป็นการเฉพาะ โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ:
ต้องพิสูจน์รายได้ขั้นต่ำ: 10 ล้านด่งต่อเดือน (ประมาณ 15,000 บาท)
ต้องชำระค่าธรรมเนียม: 1 ล้านด่ง (ประมาณ 1,500 บาท) ต่อ 24 ชั่วโมง
โครงการนำร่องนี้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการที่ Corona Resort & Casino บนเกาะฟู้โกว๊กในปี 2019
หลังจากดำเนินการมา 5 ปี รัฐบาลเวียดนามได้บทเรียนสำคัญว่า แม้มาตรการดังกล่าวจะสามารถควบคุมปัญหาสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่กระบวนการพิสูจน์รายได้ที่ซับซ้อนได้กลายเป็น "อุปสรรค" ที่ลดทอนแรงจูงใจและสร้างความไม่สะดวกแก่ผู้ใช้บริการ
ด้วยเหตุนี้ ในวันที่ 1 มกราคม 2025 รัฐบาลจึงประกาศยุติโครงการนำร่องชั่วคราว เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาปฏิรูปโครงสร้างกฎหมายครั้งใหญ่
และในเดือนสิงหาคม 2025 กระทรวงการคลังได้เสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า "ตั๋วเข้า" (Entry Fee Model) ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์โดยสิ้นเชิง โดยพลเมืองเวียดนามไม่จำเป็นต้องพิสูจน์รายได้อีกต่อไป แต่ต้องชำระค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูงขึ้น:
2.5 ล้านด่งต่อวัน (ประมาณ 3,600 บาท)
50 ล้านด่งต่อเดือน (ประมาณ 72,000 บาท)
โมเดลใหม่นี้ถูกมองว่า บริหารจัดการง่าย โปร่งใส และช่วยขยายฐานลูกค้า ได้กว้างขึ้น ขณะเดียวกันยังคงมาตรการป้องกันปัญหาทางสังคมไว้อย่างเข้มงวด เช่น การให้สิทธิ์สมาชิกในครอบครัวยื่นคำร้องห้ามบุคคลเข้าใช้บริการ และการบังคับจัดเก็บข้อมูลผู้เล่นเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี
โครงการ Van Don Integrated Resort ซึ่งพัฒนาโดย Sun Group ไม่ใช่แค่ IR แห่งใหม่ แต่เป็นโครงการแรกที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายที่ปรับปรุงใหม่นี้อย่างเต็มรูปแบบ การอนุญาตให้คนเวียดนามเข้าใช้บริการได้ภายใต้กฎเกณฑ์ใหม่ จะเป็นการปลดล็อกกำลังซื้อมหาศาลจากตลาดในประเทศ ควบคู่ไปกับการดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากต่างชาติ
คาดการณ์ว่าโครงการซึ่งมีระยะเวลาก่อสร้าง 9 ปี และได้รับสัมปทานนานถึง 70 ปี จะก่อให้เกิดการจ้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง พร้อมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การก่อสร้าง การโรงแรม ไปจนถึงธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งหมดนี้จะยกระดับจังหวัดกว๋างนิงห์ให้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวแห่งภาคเหนืออย่างแท้จริง
ท้ายที่สุดแล้ว ยุทธศาสตร์ที่ค่อยเป็นค่อยไปแต่แน่วแน่ของเวียดนามในครั้งนี้ คือการเดิมพันเพื่อสร้างแบรนด์ของประเทศบนแผนที่อุตสาหกรรมบันเทิงระดับโลก โดยมีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นไปเทียบเคียงกับศูนย์กลางอย่างมาเก๊าและสิงคโปร์ในอนาคต
ที่มา : vir
ข่าวที่เกี่ยวข้อง