svasdssvasds

Breaking News : ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาเพิ่มโทษ "บุญทรง" จำคุกเพิ่มอีก 6 ปี เดิม 42 ปี เป็นจำคุก 48 ปี

Breaking News : ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาเพิ่มโทษ "บุญทรง" จำคุกเพิ่มอีก 6 ปี เดิม 42 ปี เป็นจำคุก 48 ปี

อุทธรณ์จีทูจี พิพากษาแก้เพิ่มโทษจำคุก บุญทรง อีก 6 ปี รวมจำคุก 48 ปี ขณะที่กลุ่มโรงสี รับโทษจากยกฟ้อง ให้จำคุก-ปรับ 6 ราย แต่รอลงอาญา 3 ปี

วันนี้เวลา 12:00 น. ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา (ชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์) คดีหมายเลขดำที่ อม.อธ. 3-4/2560 ระหว่างอัยการสูงสุดโจทก์นายภูมิสาระผลที่ 1 กับพวกรวม 28 คน จำเลยกับผู้ร้องทั้งห้าเรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์มีคำพิพากษาในสาระสำคัญว่า โครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (g to g) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พุทธศักราช 2554 กำหนดให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการเจรจาการซื้อขายข้าวตามโครงการรับจำนำของรัฐบาลและข้าวในสต๊อกของรัฐบาลกับผู้แทนหน่วยงานของรัฐบาลที่ได้รับมอบหมายให้มีอำนาจเต็มในการซื้อขายจากรัฐบาลของทุกประเทศ เมื่อปรากฏว่าสัญญาซื้อขายข้าวทั้งสี่ฉบับระหว่างผู้ร้องที่หนึ่งกับบริษัทกวางตรงและบริษัทห่ายหนาน เกิดจากการกระทำโดยทุจริตจึงไม่เป็นสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจำเลยที่หนึ่งและที่สองเห็นชอบให้ทำและแก้ไขสัญญาซื้อขายทั้งสี่ฉบับระหว่างผู้ร้องที่หนึ่งกับบริษัทกวางตรงและบริษัทห่ายหนาน ตามการดำเนินการของจำเลยที่สี่ถึงที่หกโดยบริษัทดังกล่าวไม่ได้เป็นผู้ชำระเงินค่าข้าวตามสัญญาทั้งสี่ฉบับเนื่องจากจำเลยที่หนึ่งถึงที่หกกำหนดเงินไขที่มีการเปิดช่องให้ไว้ต้องส่งค่าตามสัญญาไปสาธารณรัฐประชาชนจีนรวมทั้งเลือกวิธีการชำระเงินด้วยแคชเชียร์เช็คไม่ใช่ ตามการดำเนินการของจำเลยที่สี่ถึงที่หกโดยบริษัทดังกล่าวไม่ได้เป็นผู้ชำระเงินค่าข้าวตามสัญญาทั้งสี่ฉบับเนื่องจากจำเลยที่หนึ่งถึงที่หกกำหนดเงินไขที่มีการเปิดช่องให้ไม่ต้องส่งข้าวตามสัญญาไปสาธารณรัฐประชาชนจีนรวมทั้งเลือกวิธีการชำระเงินด้วยแคชเชียร์เช็คไม่ใช้ วิธีการชำระเงินด้วยการเปิด L/C จึงเป็นการตัดการโอนเงินระหว่างประเทศอีกทั้งบริษัทดังกล่าวไม่ได้ส่งข่าวไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนแต่อย่างใดเป็นผลให้กลุ่มจำเลยที่เจ็ดถึงที่ 10 แปดจำเลยที่ 20 และที่ 21 นำเข้าไปเวียนขายให้แก่ผู้ค้าข้าวในประเทศและรับประโยชน์อันเกิดจากส่วนต่างจากราคาตามสัญญาซื้อขายข้าวทั้งสี่ฉบับกับราคาตลาดไปเป็นของตนโดยทุจริตหรือข้อเท็จจริงตามที่วินิจฉัยข้างต้นจำเลยดังกล่าวไม่สามารถทำได้เฉพาะลำพังคนใดคนหนึ่งแต่เป็นการร่วมกันทุจริตระหว่างนักการเมืองข้าราชการประจำและนักธุรกิจการกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดตามฟ้อง

จำเลยที่ 22 ถึงที่ 28 ต่างประกอบกิจการค้าขายถ้ามาก่อนได้ซื้อข้าวตามสัญญาตามฟ้องในราคาต่ำกว่าท้องตลาดซื้อในปริมาณมากและมีมุระค่าสูงโดยไม่มีสัญญาซื้อขายเอกสารตามแบบราชการใดใดหรือแม้แต่หลักฐานการซื้อขายแบบบุคคลทั่วไปตามปกติทั้งไม่มีการออกใบเสร็จรับเงินด้วยต่อมาได้รับใบเบิกค่าเป็นเอกสารใบส่งสินค้า/ ใบแจ้งหนี้ที่ไม่ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 22 ถึงที่ 28 เป็นผู้ซื้อในการชำระเงินจำเลยดังกล่าวซื้อแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายกรมการค้าต่างประเทศและจำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 นำไปชำระค่าข้าวที่เก็บรักสาไว้ในครั้งสินค้าของตนเองส่วนจำเลยที่ 16 วันที่ 28 นำไปชำระค่าข้าวที่เก็บรักสาไว้ในครั้งสินค้าที่ผู้ร้องที่สองหรือผู้ร้องที่สามเช่าเชื่อว่าจำเลยที่ 22 ถึงที่ 28 ทราบว่ามีการทุจริตร่วมกันอย่างเป็นขบวนการในโครงการรับจำนำข้าวโดยจำเลยที่ 22 ถึงที่ 28 ควรทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยการไม่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จะเข้าไปเจรจาต่อรองแล้วตกลงซื้อและรับข้าวในโครงการรับจำนำข้าวที่เก็บรักสาไว้ในครั้งสินค้าของผู้ร้องที่สองหรือผู้ร้องที่สามโดยร่วมกับจำเลยที่ 15 กระทำการดังกล่าวพฤติการณ์บ่งชี้ว่าจำเลยที่ 22 ถึงที่ 28 ได้กระทำดังกล่าวมาโดยผ่านกระบวนการคิดต่ตองและตระหนักถึงผลดีผลเสียเป็นอย่างดีแล้วจึงเลือกที่จะซื้อข้าวในโครงการรับจำนำข้าวไม่ผ่านการติดต่อของจำเลยที่ 15 เพียงเพื่อให้ได้เข้ามาประกอบธุรกิจของตนโดยไม่ได้คำนึงว่าการกระทำนั้นนั้นเป็นการซื้อข้าวที่ได้มาจากการทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และจะส่งผลเสียหายหรือไม่เพียงใดการกระทำของจำเลยที่ 22 ถึงที่ 28 จะเป็นความผิดตามฟ้องอุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น

ศาลวินิจฉัยในส่วนแพ่งซึ่งผู้ร้องทั้งห้าอุทธรณ์ว่าผู้ร้องดังกล่าวเป็นผู้เสียหายและให้จำเลยชำระค่าเสียหายเพิ่มขึ้นศาลเห็นว่าจำเลยที่ร่วมกันทุจริตย่อมก่อให้เกิดความเสียหายผู้ร้องที่หนึ่งเป็นคู่สัญญาผู้ร้องที่สองและที่สามมีหน้าที่สำคัญตั้งแต่การรับจำนำข้าวเปลือกในสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสารและเก็บรักษาข้าวดังกล่าวมาตั้งแต่ปีการผลิตก่อนผู้ร้องที่สองและที่สามเป็นเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ในข้าวสำหรับผู้ร้องที่สี่ก็มีหน้าที่กำกับการให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์การระบายข้าว และผู้ร้องที่สี่มีหน้าที่สนับสนุนงบประมาณผู้ร้องทั้งห้าจึงเป็นผู้เสียหายเมื่อจำเลยร่วมกันทำสัญญาดังกล่าวโดยทุจริตนำข้าวออกไปสัญญาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ผูกพันฝ่ายผู้ร้องทั้งห้าจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องทั้งห้าโดยต้องคืนข้าวต้องเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องทั้งห้าเสียไปจากการละเมิดแต่คดีนี้ผู้ร้องทั้งห้าขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นการชำระค่าเสียหายซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าการขึ้นข้าวที่กำหนดค่าสินไหมทดแทนเป็นการชำระค่าเสียหายทั้งนี้การที่ผู้ร้องทั้งห้าต้องปฎิบัติหน้าที่ภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกันเพื่อระบายข้าวต้องใช้ความรู้ความสามารถร่วมกันเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดผลสัมฤทธิ์จึงเป็นผู้เสียหายร่วมกันที่ฝ่ายจำเลยแก้อุทธรณ์ว่าผู้ร้องทั้งห้ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนั้นศาลเห็นว่ากระทรวงและกรมในราชการจัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารราชการแผ่นดินและประโยชน์สาธารณะเป็นนิติบุคคลในทางมหาชนเมื่อไม่ได้ออกคำสั่งเพื่อกำหนดนโยบายระบายข้าพิพาทจึงไม่ได้เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดดังที่ฝ่ายจำเลยแก้อุทธรณ์ องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า

จำคุกจำเลยที่สองเพิ่มขึ้นอีกกระทงหนึ่งเป็นเวลาหกปีรวมจำคุกจำเลยที่สองมีกำหนด 48 ปี

จำคุกจำเลยที่ 26 และ 28 คนละสี่ปีและปรับคนละ 25,000 บาท

จำเลยที่ 22 ที่ 24 ที่ 25 และที่ 27 รายละ 25,000 บาท

เฉพาะการกระทำของจำเลยที่ 23 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 จำคุกกระทงละสี่ปีและปรับกระทงละ 25,000 บาทรวมสองกระทงเป็นจำคุกแปดปีและปรับ 50,000 บาท เฉพาะการกระทำของจำเลยที่ 23 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 จำคุกกระทงละสี่ปีและปรับกระทงละ 25,000 บาทรวมสองกระทงเป็นจำคุกแปดปีและปรับ 50,000 บาท

ตามพฤติการณ์แห่งคดีเห็นควรให้รอการลงโทษจำคุกของจำเลยที่ 23 26 และ 28 ไว้มีกำหนดคนละสามปีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 หากจำเลยที่ 23 ที่ 26 วันที่ 28 ไม่ชำระครับปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 30 หากจำเลยที่ 12 ที่ 24 25 แล้วที่ 27 ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29

ในการชำระค่าเสียหายส่วนแพ่งให้จำเลยชำระแก่ผู้ร้องทั้งห้าดังนี้ให้จำเลยที่ 10 ที่ 14 และที่ 15 ร่วมกันชำระเงิน 20,057,723,761.66 บาทจำเลยที่ 20 และที่ 21 ร่วมกันชำระเงิน 2,135,632,483.87 บาท จำเลยที่ 22 ให้ที่ 23 ร่วมกันชำระเงิน 27,000,000 บาทจำเลยที่ 25 และ จำเลยที่ 22 ให้ที่ 23 ร่วมกันชำระเงิน 7,000,000 บาทจำเลยที่ 25 26 ร่วมกันชำระเงิน 15 ล้านบาทจำเลยที่ 27 นาที 28 ร่วมกันชำระเงิน 15 ล้านบาทตามที่โจทก์อุทธรณ์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่กำหนดให้คำพิพากษาในวันนี้องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ได้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดและออกคำบังคับสำหรับค่าเสียหายในส่วนแพ่งตามคำพิพากษาแล้ว

related