svasdssvasds

"เศรษฐา" ฟ้อง "ชูวิทย์" หมิ่นประมาท ปมเลี่ยงภาษีที่ดินแสนสิริ เรียก 500 ล้าน

"เศรษฐา" ฟ้อง "ชูวิทย์" หมิ่นประมาท ปมเลี่ยงภาษีที่ดินแสนสิริ เรียก 500 ล้าน

"เศรษฐา" ส่งทนาย ฟ้อง "ชูวิทย์" หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เรียกค่าเสียหาย 500 ล้าน ชี้ ชูวิทย์ พูดความจริงไม่หมด จงใจใส่ความมีวาระซ่อนเร้น ปูดกลับ บริษัทลูกชาย ชูวิทย์ ซื้อขายที่ดินทำเเบบเดียวกับเเสนสิริหรือไม่ ศาลนัดไต่สวน 9 ต.ค.

 วันที่ 7 สิงหาคม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.)  กล่าวถึงกรณียื่นฟ้องนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองดัง ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

ในกรณีที่นายชูวิทย์กล่าวหาว่า บริษัท แสนสิริโดยนายเศรษฐาซื้อที่ดินและมีการหลีกเลี่ยงภาษี ว่า นายเศรษฐา มอบอำนาจให้ตนฟ้องและดำเนินคดีกับนายชูวิทย์ โดยมีสาระสำคัญว่า เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 จำเลยทราบอยู่แล้วว่า ในวันที่ 4 สิงหาคม 2566 จะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา และในวันประชุมรัฐสภาดังกล่าว คาดหมายว่าจะมีการเสนอชื่อ ในฐานะเป็นบุคคลที่สมควรจะได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ต่อที่ประชุมรัฐสภา

"เศรษฐา" ฟ้อง "ชูวิทย์" หมิ่นประมาท ปมเลี่ยงภาษีที่ดินแสนสิริ เรียก 500 ล้าน

 ทั้งนี้ จำเลยจัดแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนและสาธารณชน ที่โรงแรมเดอะเดวิส โดยใช้ชื่อว่า “แฉเพื่อชาติ EP 1” ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ โดยการป่าวประกาศ ใส่ความโจทก์ต่อหน้าสื่อมวลชวนที่ไปทำข่าว และมีการถ่ายทอดสดเผยแพร่ต่อสื่อออนไลน์ ทั้งสื่อโทรทัศน์ สื่อออนไลน์แพลตฟอร์มต่างๆ ในลักษณะใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม เพื่อให้ประชาชนบุคคลทั่วไป

 รวมทั้งสมาชิกรัฐสภา ทั้งสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ที่จะต้องลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบให้โจทก์เป็นนายกรัฐมนตรี รวมทั้งบุคคลทั่วไป ที่ได้รับฟังรับชมการแถลงข่าวของจำเลย หลงเชื่อและเข้าใจว่า โจทก์เป็นบุคคลไม่ดี เป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่สมควรที่จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• "ชูวิทย์" แจง 5 เหตุผล "เศรษฐา" ไม่มีคุณสมบัติเป็นนายกฯ เลี่ยงภาษี 521 ล้าน

• อาการล่าสุด ชูวิทย์ ป่วยมะเร็งตับ ระยะ 3 ทำคีโมต่อเนื่อง แฉเศรษฐาเพื่อชาติ

• ส่องประวัติ ชูวิทย์ ย้อนเส้นทาง “จอมแฉ” จนกลายเป็นเครื่องหมายการค้าไปแล้ว

 ก่อนการแถลงข่าว บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยแพร่แถลงการณ์ต่อสาธารณะ หัวข้อ “แสนสิริ ชี้แจงซื้อที่ดินถูกต้องตามหลักกฎหมายและธรรมาภิบาล” ยืนยันว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามหลักธรรมาภิบาล ถูกต้องตามกฎหมาย โปร่งใสและตรวจสอบได้ จำเลยสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงตามความจริงที่ถูกต้องได้ ทั้งต้องใช้ความระมัดระวังในการเสนอข้อเท็จจริง

"เศรษฐา" ฟ้อง "ชูวิทย์" หมิ่นประมาท ปมเลี่ยงภาษีที่ดินแสนสิริ เรียก 500 ล้าน

 แต่จำเลยกลับไม่ตรวจสอบให้ดีก่อนมีการแถลงดังกล่าว แต่ยืนยันข้อเท็จจริงและมีเจตนาที่จะไม่ให้สมาชิกรัฐสภาทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ที่จะต้องลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบให้โจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น และจำเลยมีเจตนาให้ประชาชนบุคคลทั่วไปที่ได้รับชมรับฟังการแถลงข่าวของจำเลยดังกล่าว หลงเชื่อ และเข้าใจทันทีว่า โจทก์เป็นบุคคลไม่ดี โกงภาษี ไม่มีธรรมาภิบาล เป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง

 นายวิญญัติ กล่าวว่า ความจริงผู้ขายได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการโอนแบ่งคืนให้ผู้ถือหุ้นคนละวันกัน จึงไม่ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมกัน ต่อมาเมื่อมีการขายให้บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัทเดียวโดยต่างคนต่างขายคนละวัน หรือแม้ว่าจะขายในวันเดียวกัน ผู้ขายทั้งหมดก็ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ในฐานะห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 100/2543 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ข้อ 4 (2)

 เนื่องจากข้อเท็จจริงกรณีนี้ไม่ได้มีการเข้าถือกรรมสิทธิ์รวมพร้อมกัน จึงให้บุคคลแต่ละคนที่ถือกรรมสิทธิ์รวม เสียภาษีเงินได้ในฐานะบุคคลธรรมดา โดยแยกเงินได้ตามส่วนของแต่ละคนที่มีส่วนอยู่ในอสังหาริมทรัพย์ที่ถือกรรมสิทธิ์รวม

 จำเลยยังเป็นการทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อร่างกายและจิตใจ เป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายข้อความ ซึ่งฝ่าฝืนความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของโจทก์ หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของโจทก์ ทำให้โจทก์ขาดความน่าเชื่อถือจากประชาชน เนื่องจากโจทก์เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงและเป็นบุคคลที่พรรคเพื่อไทย มีมติให้ส่งชื่อกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

"เศรษฐา" ฟ้อง "ชูวิทย์" หมิ่นประมาท ปมเลี่ยงภาษีที่ดินแสนสิริ เรียก 500 ล้าน

 นายวิญญัติ เผยว่า นายชูวิทย์มีเจตนาพูดไม่ครบถ้วน ให้ข้อเท็จจริงในลักษณะให้เกิดความเข้าใจผิด และมีวาระซ่อนเร้นที่จะกลั่นแกล้งโจทก์หรือไม่ การใส่ความนายเศรษฐาให้ประชาชน และสมาชิกรัฐสภาเชื่อว่า นายเศรษฐากระทำผิดกฎหมาย และขัดธรรมาภิบาล เพื่อหวังผลทางการเมือง และไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชนอย่างที่นายชูวิทย์กล่าว

 ซึ่งทางโจทก์ได้ยื่นฟ้องพร้อมเรียกค่าเสียหายจากนายชูวิทย์จากการกระทำละเมิดต่อโจทก์ดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 500 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี

 นายวิญญัติ กล่าวว่า ทราบว่านายชูวิทย์กำลังป่วย ตนจึงให้กำลังใจในฐานะเพื่อนมนุษย์ แต่ที่ต้องฟ้องไม่ใช่การรังแกคนป่วย เป็นคนละเรื่อง เพราะการกระทำของคุณชูวิทย์ เข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดกฎหมาย จะใช้สิทธิละเมิดผู้อื่นมิได้

เราทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน หากโดนละเมิดสิทธิ คุณเศรษฐาก็ต้องปกป้องสิทธิของตัวเอง ไม่เช่นนั้น คนทั่วไปและสมาชิกรัฐสภาหรือวิญญูชนย่อมเข้าใจในทางไม่ดีต่อคุณเศรษฐา และยังมีการกล่าวหรือกระทำการให้ร้ายอยู่ต่อไป

 แม้คุณชูวิทย์จะบอกว่าตัวเองป่วย มีเวลาไม่นาน แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่พูดจะต้องจริง ทางกฎหมายคือเจตนาใส่ความนั่นเอง เมื่อตนยื่นฟ้องเป็นคดีต่อศาลอาญาแล้ว อยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่าคดีอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ไม่ควรนำไปขยายประเด็นหรือใส่ความอีก เพราะจำเป็นต้องมีการฟ้องดำเนินคดีตามสิทธิ์

 กล่าวโดยสรุป คุณเศรษฐา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ย่อมอาจถูกตรวจสอบได้ แต่ประชาชนที่รับข้อมูลข่าวสารต้องพึงระวังว่าในข้อมูลนั้น และต้องรอบด้าน ไม่ใช่รีบตัดสินเพื่อเชื่อเลยทีเดียว เรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องภาษี และเป็นการดำเนินการตามมาตรการการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรไม่ใช่เรื่องเลี่ยงภาษีหรือทำให้รัฐเสียหาย

 ส่วนกรณีที่นายชูวิทย์ ระบุว่า การเลี่ยงภาษี กับการวางเเผนภาษีไม่เหมือนกัน เชื่อว่า คนที่เกิดมาในไทย ที่ต้องเสียภาษี จะมีเงินได้ประเภทไหนก็ตาม ไม่จำเป็นต้องเป็นนักธุรกิจ ส่วนใหญ่วางเเผนภาษีกันทั้งนั้น

 การวางเเผนภาษีไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย การวางเเผนภาษีไม่ใช่การกระทำการสมรู้ร่วมคิด หรือทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ เพราะรัฐเป็นคนวางมาตราการเอง เเละวางช่องทางให้ผู้เสียภาษี สามารถใช้ช่องทางนั้นๆ ดำเนินการเสียภาษีรัฐได้ ไม่เช่นนั้นจะซื้อกองทุน ซื้อประกันไปทำไม 

ส่วนที่ นายชูวิทย์ อ้างว่ามีกรณีตัวอย่างที่สรรพากรลงโทษเอาผิด บริษัทที่ซื้อขายที่ดินแล้วมีพฤติกรรมหลบลีกเลี่ยงภาษีเหมือนนายเศรษฐานั้น ย้ำว่าแนววินิจฉัยที่นายชูวิทย์เอามาพูดเป็นคำพิพากษาเก่าปี 2542 แต่ปัจจุบันมีการบังคับใช้ประกาศสรรพกร ฉบับใหม่ที่ ป.100/2543 เรื่องการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และอากรแสตมป์ กรณีการขายการโอนกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิการครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ จึงขอให้ชูวิทย์ไปศึกษาข้อมูล และทำความเข้าใจเรื่องนี้มาใหม่

 นายวิญญัติ เตือนนายชูวิทย์ ให้ย้อนกับไปดูบริษัทลูกชายของตัวเอง เติมตระกูล ประกอบธุรกิจโรงเเรม ที่ถือหุ้นทั้งหมด 4 คน ขณะนี้มีคนจ้องจะเปิดหลักฐาน ถามว่า เคยทำเเบบที่เเสนสิริ หรือไม่ 

 ส่วน ที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และอดีตสมาชิกวุฒิสภา ยื่นเรื่องให้คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ให้ตรวจสอบ ว่า เป็นสิ่งที่จะกระทำได้ เเต่หากจะยื่นตรวจสอบใคร ต้องมีหลักฐานชัดเจน ไม่ใช่ไหลไปตามกระเเส ยืนยัน นายเศรษฐา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ดินเเปลงนี้ เพราะบริษัทซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ มีทีมซื้อขายอยู่ผู้บริหารไม่จำเป็นต้องดำเนินการทุกเรื่อง 

นายวิญญัติ บอกว่า หลังนายชูวิทย์แถลงข่าวเปิดโปง นายเศรษฐา มานั่งปรึกษา ตั้งเเต่วันที่ 4 สิงหาคม ในการยื่นฟ้องครั้งนี้ โดยศาลนัดไต่สวนวันที่ 9 ตุลาคมนี้

related