svasdssvasds

"เศรษฐีร้อยล้านดอลลาร์ฯ" ทั่วโลกพุ่งเกือบ 3 หมื่นคน กระจุกตัวในสหรัฐมากสุด

"เศรษฐีร้อยล้านดอลลาร์ฯ" ทั่วโลกพุ่งเกือบ 3 หมื่นคน กระจุกตัวในสหรัฐมากสุด

รายงานปี 2566 เผยสถิติทั่วโลก พบ "เศรษฐีร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ" มีจำนวนพุ่งสูงขึ้นมาก ซึ่งกว่า 38% กระจุกตัวอยู่ในสหรัฐฯ โดยนครนิวยอร์กครองแชมป์จากการที่มีเศรษฐีร้อยล้านอาศัยอยู่ 775 คน

ทั่วโลกมีเศรษฐีร้อยล้านอยู่เกือบ 3 หมื่นคน

รายงานเศรษฐีร้อยล้าน (Centi-Millionaire Report) ประจำปี 2566 ซึ่งเผยแพร่โดยเฮนลี่ย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส (Henley & Partners) บริษัทให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่งและการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐาน และใช้ข้อมูลเอ็กซ์คลูซีฟจากบริษัท นิว เวิลด์ เวลท์ (New World Wealth) ผู้ให้บริการข้อมูลความมั่งคั่งระดับโลกแบบเจาะลึก เปิดเผยว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีเศรษฐีร้อยล้านอยู่ 28,420 ราย เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 20 ปีที่แล้วกว่าเท่าตัว และเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว โดยกลุ่มผู้มีฐานะร่ำรวยและทรงอิทธิพลที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลกกลุ่มนี้ ต้องมีทรัพย์สินที่ลงทุนได้อย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ตามที่ระบุไว้ในรายงานฉบับแรกเมื่อปีที่แล้ว เมื่อดูเป็นรายประเทศแล้ว เศรษฐีร้อยล้านส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในสหรัฐอเมริกา (38%) ตามมาด้วยตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่อย่างจีนและอินเดีย 1ใน3ของบรรดาเศรษฐีร้อยล้านทั่วโลกอาศัยอยู่ในเมืองสำคัญ 50 เมืองทั่วโลก โดยนครนิวยอร์กครองแชมป์จากการที่มีเศรษฐีร้อยล้านอาศัยอยู่ 775 คน

ทั่วโลกมี "เศรษฐีร้อยล้าน" พุ่งเกือบ 3 หมื่นคน กระจุกตัวในสหรัฐฯมากสุด

10 เมืองที่มีมหาเศรษฐีร้อยล้านมากที่สุด

  1. นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา 775 คน
  2. ย่านอ่าวซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา 692 คน
  3. ลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา 504 คน
  4. ลอนดอน เมืองหลวงของสหราชอาณาจักร 388 คน
  5. ปักกิ่ง ประเทศจีน 365 คน
  6. เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน 332 คน
  7. ประเทศสิงคโปร์ 330 คน
  8. ฮ่องกง (เขตปกครองพิเศษของจีน) 305 คน
  9. ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา 286 คน
  10. กรุงปารีสและแคว้นอีล-เดอ-ฟร็องส์ ประเทศฝรั่งเศส 280 คน

โดยรวมแล้ว สหรัฐอเมริกามี มหาเศรษฐีร้อยล้าน มากถึง 12 เมืองใน 50 อันดับแรก โดยมีเศรษฐีร้อยล้านทั้งหมด 3,311 คน คิดเป็น 11.7% ของจำนวนเศรษฐีร้อยล้านทั่วโลก ณ เดือนมิถุนายน 2566 กลุ่มมหาเศรษฐีในนครนิวยอร์กมีจำนวนเพิ่มขึ้นเพียง 5% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เทียบกับ 11% ในบริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก ขณะที่ชิคาโกยังติดอันดับท็อป 10 โดยรั้งอันดับ 9 ด้วยจำนวนเศรษฐีร้อยล้าน 286 คน แต่ก็ร่วงหนักเกือบ 16% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ในทางกลับกัน สหราชอาณาจักรมีเมืองที่ติด 50 อันดับแรกอยู่เมืองเดียว นั่นคือ ลอนดอน ซึ่งอยู่ในอันดับ 4 โดยมีเศรษฐีร้อยล้าน 388 คน คิดเป็น 1.4% ของจำนวนเศรษฐีร้อยล้านทั่วโลก กรุงลอนดอนครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งรวมความมั่งคั่งและอิทธิพลในระดับโลก แต่ก็ดูเหมือนจะถดถอยลง ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว เมืองหลวงของสหราชอาณาจักรเคยมีเศรษฐีร้อยล้านอยู่ 406 คน ลดลง 4.4% ในเวลาเพียง 12 เดือน

10 เมืองที่มีมหาเศรษฐีร้อยล้านมากที่สุด

คาดแถบโลกใต้เติบโตแข็งแกร่ง

ดร. ยอร์ก สเตฟเฟน (Dr. Juerg Steffen) ซีอีโอของเฮนลี่ย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส กล่าวว่า กลุ่มผู้ที่มีสินทรัพย์มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น สะท้อนความหมายของคำว่า 'มหาเศรษฐี' ในยุคนี้ได้ดีที่สุด "โดยย้อนกลับไปไม่นานมานี้ ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 ธนาคารส่วนใหญ่ถือว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐคือตัวเลขที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุสถานะนี้ อย่างไรก็ตาม ราคาสินทรัพย์ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่นั้นมา ทำให้ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐกลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานใหม่"

จากการจัดอันดับเมืองชั้นนำ 50 แห่งนั้น ศูนย์กลางอีคอมเมิร์ซของจีนอย่างหางโจว คาดว่าจะมีจำนวนเศรษฐีร้อยล้านเพิ่มขึ้นมากที่สุดในทศวรรษหน้า โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 95% ตามมาด้วยศูนย์กลางเทคโนโลยีแห่งสำคัญอย่างเซินเจิ้น (88%)

แนวโน้มมหาเศรษฐีร้อยล้าน ในอีก 10 ปี

  • ริยาด ศูนย์กลางธุรกิจระดับโลกที่กำลังเติบโตในซาอุดีอาระเบียและศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของอินเดียอย่างเดลี คาดว่าจะเติบโตสูงสุดเป็นอันดับ 3 โดยมีจำนวนเพิ่มขึ้น 85%
  • มุมไบ เมืองหลวงทางการเงิน คาดว่าจะมีจำนวนเศรษฐีร้อยล้านเพิ่มขึ้น 80%
  • ออสติน สหรัฐอเมริกา เมืองเทคโนโลยี คาดว่าจะมีจำนวนเศรษฐีร้อยล้านเพิ่มขึ้น 84% 
  • ดูไบ มีเศรษฐกิจที่มีชีวิตชีวาและหลากหลาย โดยคาดว่าจะมีจำนวนเศรษฐีร้อยล้านเพิ่มขึ้น 78%
  • กว่างโจว ศูนย์กลางการขนส่งและการค้าหลักของจีน 76%
  • โมนาโก เมืองที่แพงที่สุดในโลก 72%
  • ออสเตรเลีย ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้น 67% ในเมลเบิร์น, 60% ในซิดนีย์ และ 57% ในเพิร์ธ

ในทางตรงกันข้าม ตัวเลขการเติบโตของจำนวนเศรษฐีร้อยล้านคาดว่าจะซบเซาเพียง 17% ในลอสแองเจลิส, 12% ในลอนดอน, 6% ในชิคาโก และเพียง 5% ในมอสโก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ที่มา : henleyglobal

related