วิเคราะห์ฉากทัศน์ของสงคราม “ไทย-กัมพูชา” หากเกิดขึ้นจริง อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ปัจจัยหนุนแต่ละฝ่ายมีขนาดไหน และสิ่งที่ไทยต้องระวัง
กลายเป็นประเด็นร้อนและสุ่มเสี่ยงสำหรับสถานการณ์พิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ขณะฝ่ายกัมพูชาได้มีการเสริมกำลังอย่างเต็มอัตราตามแนวชายแดน ทั้งกำลังพล และยุทโธปกรณ์ ขณะที่ฝั่งไทย แม้จะยืนยันว่า ต้องการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธีผ่านกลไกลทวิภาคี แต่ในที่ประชุม สมช.ทางรัฐบาลโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการส่งสัญญาณมาแล้วว่า
“ให้หน้างานคือฝ่ายกองทัพเป็นผู้ประเมินหากต้องมีการปะทะ” รวมถึงที่ประชุม ผบ.เหล่าทัพในช่วงเย็นวานนี้ก็มีคำสั่ง "ให้มีการยกระดับเตรียมความพร้อมทุกด้าน หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน"
ดังนั้นหากมีการยั่วยุอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่จะเกิดการปะทะ หรือปฏิบัติการทางทหาร ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ และหากเกิดสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง อะไรบ้างที่จะเกิดขึ้น คงไม่สามารถคาดเดาได้?
รศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงชายแดน วิเคราะห์ฉากทัศน์ของสงครามไทย-กัมพูชา หากเกิดขึ้นจริง
ต้องไม่ลืมว่า กัมพูชาในเวลานี้อาจไม่ได้ต้องการแค่ 4 พื้นที่ที่อ้างสิทธิ์และจะยื่นฟ้องศาลโลก ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และช่องบก
ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องเฝ้าระวังคือ ความสุ่มเสี่ยงในพื้นที่ชายแดนจุดอื่นในอนาคต โดยเฉพาะในพื้นที่ทะเล หรือแม้แต่เกาะกูดที่เริ่มถูกพูดถึง จึงอาจมีการใช้กำลังทางเรือ ซึ่งต่างจากเหตุการณ์ปี 2554 (เขาพระวิหารจุดเดียว)
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องควบคุมปัจจัยสำคัญ 3 อย่างให้ได้
คำถามที่ยากที่สุดก็คือ…เราควบคุม 3 ปัจจัยเสี่ยงนี้ได้มากน้อยแค่ไหน และเราจะรักษาการปะทะให้อยู่เฉพาะพื้นที่พิพาท หรือจะยอมให้ขยายไปยังจุดอื่น รวมถึงพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์หรือไม่
ที่สำคัญกว่านั้น คือ ประเทศไทยมีศักยภาพมากแค่ไหนที่จะ “กำหนดฉากจบ” ของสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะหากต้องเลือกใช้กลไกทางการทูตและกลไกการเจรจาที่เรามีอยู่ทั้งหมดมาร่วมด้วยตอนท้าย
ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา หลายฝ่ายประเมินฉากทัศน์เลวร้ายถึงขั้นอาจมีสงครามกันไปแล้ว
หลายๆ สื่อจึงมีการเปิดประเด็น “กำลังรบเปรียบเทียบ” ระหว่าง กัมพูชา กับ ไทย ซึ่งในส่วนของไทย แม้จะ “รักสงบ” แต่ก็ “รบไม่ขลาด”
จากรายงานของ “เนชั่นออนไลน์” นำมาฝากเพิ่มเติมให้ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “กองทุน” หรือ “แบ็ก” ของแต่ละฝ่าย เนื่องจากสงครามสมัยใหม่ ไม่ได้รบกัน “ตัวต่อตัว” อีกต่อไป
ดูตัวอย่างสงครามยูเครน กับรัสเซีย รวมถึงสงครามระหว่างอิสราเอล กับปาเลสไตน์ ล้วนมีมหาอำนาจ และพันธมิตร ชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
จากข้อมูล “แมทชิ่ง” ซึ่งเป็นความร่วมมือ และความช่วยทางทหาร ระหว่างกัมพูชากับมหาอำนาจ ส่วนไทยนั้น ขณะนี้ขาดแคลน “หลังพิง” ต้องบอกว่า อยู่ในภาวะโดดเดี่ยวอย่างยิ่ง
ฉะนั้นการจะประเมินศักยภาพของกัมพูชา จาก ranking กำลังรบทางกายภาพอย่างเดียว น่าจะไม่เพียงพออีกต่อไป
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ข้อมูลการสนับสนุนด้านอาวุธจากจีนให้กับกัมพูชา ซึ่งรวบรวมโดย รศ.ดร.ฐิติวุฒิ
อาจารย์อธิบายว่า ข้อมูลการสนับสนุนยุทโธปกรณ์ที่จีนมอบให้กัมพูชา ถือว่าน่าสนใจ แม้เป้าหมายจะเป็นเรื่องการพยายามหาพันธมิตรเพื่อถ่วงดุลสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ก็ตาม แต่ข้อมูลชุดนี้ก็มีประโยชน์มากในแง่จำนวนและชนิดของอาวุธที่จีนมอบให้กัมพูชา เพราะจะเป็นปัจจัยการประเมินการใช้กำลังทหารของไทยต่อไปในอนาคตด้วย
ฉะนั้นข้อมูลที่เคยคิดว่าไทยมีอาวุธเหนือกว่ากัมพูชานั้น น่าจะเป็นข้อมูลเก่าไปแล้ว เนื่องจากปัจจุบันมีใกล้เคียงกันมาก
ปัจจัยชี้ขาดในการรบคือ กลยุทธ์ รวมทั้งการสนับสนุนจากรัฐบาล หากการรบยืดเยื้อ และที่ต้องไม่ลืมคือการสนับสนุนจากมหาอำนาจ
ฉะนั้น การตรวจสอบสภาพท่าทีของจีน ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังสถานการณ์ตึงเครียดไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะหากมีการปฏิบัติการทางทหาร จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ปัญหาที่เรานึกไม่ถึงจริงๆ ก็คือ หลังจากการสู้รบระหว่างอินเดียกับปากีสถานปะทุขึ้่น อาวุธของจีนที่สองประเทศเลือกซื้อและนำมาใช้ สร้างชื่อเสียงอย่างมากให้กับจีน แต่ในทางกลับกันก็ทำให้ประเทศที่นิยมอาวุธของชาติตะวันตก เริ่มขาดความมั่นใจ นี่คืดจุดน่ากังวลในความตึงเครียดไทย-กัมพูชา ด้วยเหมือนกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง