SHORT CUT
สรุปภาพรวมเหตุการณ์ภายใน 12 ชั่วโมง ของความตึงเครียดครั้งใหญ่ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะการลดระดับทางการทูตอย่างลงลึกสุด
จากกรณีที่ชุดลาดตระเวน พัน.ร.14 กำลังพลที่ออกลาดตระเวนบริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี เหยียบทุ่นระเบิดได้รับบาดเจ็บหนัก โดยต้องสูญเสียขาข้างขวา จากการตรวจสอบ คาดว่าเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ หลังเกิดเหตุกองทัพภาคที่ 2 เตรียมยกระดับการตอบโต้ โดยตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.2568 เป็นต้นไป จะสั่งปิดด่านชายแดน 4 แห่ง ได้แก่
รวมถึงปิดสถานที่ท่องเที่ยวปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย ในพื้นที่ 4 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ เพื่อประท้วงการลักลอบวางทุ่นระเบิดของกัมพูชา
กองทัพบก ขอประณามการกระทำที่ ไร้มนุษยธรรม ขัดต่อหลักมนุษยธรรม ผิดข้อตกลงสากล ที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่ราชอาณาจักรไทยโดยฝ่ายกัมพูชา
ขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การกระทำในลักษณะเช่นนี้เป็นภัยอย่างร้ายแรงต่อสันติภาพ และเสถียรภาพตามแนวชายแดน
พร้อมยืนยันว่ากองทัพบกจะต่อสู้ทุกวิถีทางด้วยกลไกที่มีอยู่ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ เช่นนี้ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของ กำลังพรกองทัพบก รวมถึงพี่น้องประชาชนคนไทย
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ในฐานะ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต โดยเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศ และส่งตัวเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยกลับไปยังกัมพูชา พร้อมพิจารณาทบทวนความสัมพันธ์ต่อไป
นายภูมิธรรม ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการต่อกัมพูชา เนื่องจากพิสูจน์ทราบว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ ซึ่งไม่เคยพบในการลาดตระเวนครั้งก่อนๆ แต่เกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงเวลาใกล้เคียง
เรายกระดับการตอบโต้อย่างเหมาะสมแล้ว เพื่อแสดงจุดยืนของไทยต่อการกระทำที่ขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา
นายฮุน ซาเรือน (H.E. Mr. Hun Saroeun) เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย และเป็นหลานชายของสมเด็จฮุน เซน ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจ “Hun Saroeun” ระบุว่า
หลังจากผมกลับแล้ว หวังว่าท่านและพวกยังอยู่นะครับ บริหารแบบใช้อารมณ์เช่นนี้ ไม่รู้ได้กี่น้ำ
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า หลังจากโพสต์ไปไม่นานทาง นายฮุน ซาเรือน ได้ลบโพสต์ดังกล่าวออกจากเฟซบุ๊กของตนแล้ว และต่อมากลางดึกได้ทำการปิดเฟซบุ๊กดังกล่าวไปแล้ว
เฟซบุ๊ก "กระทรวงกลาโหมกัมพูชา" โพสต์ข้อความ ขอแถลงปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลของฝ่ายไทยในกรณีที่ทหารไทย 5 นายได้รับบาดเจ็บจากเหตุกับระเบิด ณ พื้นที่ดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ภายในราชอาณาจักรกัมพูชา
กัมพูชาได้ย้ำเตือนฝ่ายไทยอยู่หลายครั้งแล้วว่า พื้นที่เหล่านี้ยังคงมีกับระเบิดหลงเหลือจากสงครามเป็นจำนวนมาก ซึ่งยังไม่สามารถเก็บกวาดได้หมด และได้เรียกร้องให้ฝ่ายไทยหลีกเลี่ยงการดำเนินการที่ขัดต่อข้อตกลงร่วมกันว่าด้วยการใช้เส้นทางลาดตระเวนตามบันทึกความเข้าใจปี 2000 (MOU 2000)
เป็นเรื่องน่าเสียใจอย่างยิ่งที่ฝ่ายไทยไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับผิดในพฤติกรรมการรุกรานของตนเอง ยังกล่าวหากัมพูชาว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งที่แท้จริงแล้วกัมพูชาเป็นผู้เสียหายที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจากการละเมิดของฝ่ายไทย
กระทรวงกลาโหมและกองทัพกัมพูชา ยังคงดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ในการปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดนและความมั่นคงของประชาชน โดยจะไม่ยินยอมให้ประเทศใดๆ เข้ามารุกรานดินแดนของตนโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม
สำนักข่าว Khmer News รายงานกลางดึกของวันที่ 23 กรกฎาคม ระบุว่า กองทัพกัมพูชานำกองกำลัง ประชิดชายแดนไทย-กัมพูชา หลังสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ออกมาประกาศท่าทีที่แข็งกร้าวอย่างชัดเจนในวันนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นกับประเทศไทย
โดยระบุว่า "กัมพูชาได้เตรียมความพร้อมสำหรับการสู้รบไว้แล้วอย่างเต็มที่" พร้อมทั้งส่งคำเตือนไปยังฝ่ายไทยว่า "อย่าได้อวดอ้างว่าตนเองมีกำลังเหนือกว่าแล้วคิดจะรุกรานกัมพูชา คุณจะต้องได้รับการตอบโต้อย่างสาสมที่สุด"
รัฐบาลกัมพูชาประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยลงสู่ระดับต่ำสุด เพื่อตอบโต้มาตรการลดความสัมพันธ์
มาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลไทย โดยรักษาการนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย ได้ประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา หลังจากเกิดเหตุการณ์ทุ่นระเบิดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณชายแดนที่เป็นข้อพิพาท ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองแล้ว
มาตรการดังกล่าวรวมถึงการเรียกตัวเอกอัครราชทูตกลับจากพนมเปญ และการขับไล่เอกอัครราชทูตกัมพูชาออกจากกรุงเทพฯ
กัมพูชาได้ออกมาตอบโต้ด้วยการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตลงสู่ระดับ “อุปทูตรักษาการ”
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่การทูตกัมพูชาทุกคนที่ประจำการอยู่ที่สถานทูตกัมพูชาประจำกรุงเทพฯ ได้รับคำสั่งให้เดินทางกลับประเทศ และฝ่ายไทยยังได้รับคำสั่งให้จัดการเรื่องการเดินทางกลับของเจ้าหน้าที่การทูตออกจากกัมพูชาด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง