svasdssvasds

รวมผู้นำใน ใช้กลยุทธ์ โฆษณาชวนเชื่อ เอามากล่อมจิตใจคนในชาติ

รวมผู้นำใน ใช้กลยุทธ์ โฆษณาชวนเชื่อ  เอามากล่อมจิตใจคนในชาติ

รวมผู้นำใน ใช้ กลยุทธ์ โฆษณาชวนเชื่อ เอามากล่อมจิตใจคนในชาติ กลยุทธ์เรื่องราวแบบนี้มีให้เห็นเป็นตัวอย่างมาทุกยุคทุกสมัย ในหน้าประวัติศาสตร์การเมือง

เป็นความจริงที่ดำรงอยู่คู่ประวัติศาสตร์การเมืองโลกมาช้านานว่า การรักษาอำนาจและการโฆษณาชวนเชื่อคือคู่แฝดที่ไม่อาจแยกจากกันได้  เรื่องราวแบบนี้มีให้เห็นเป็นตัวอย่างมาทุกยุคทุกสมัย ในหน้าประวัติศาสตร์  ภารกิจสำคัญของผู้ปกครองทุกยุคสมัยคือการช่วงชิงมวลชนให้อยู่ภายใต้อุดมการณ์และความเชื่อของตน เพื่อสร้างความชอบธรรมและต่ออายุอำนาจให้ยืนยาวที่สุด

ในโลกยุศตวรรษใหม่  "สงครามแย่งชิงมวลชน" นี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่การปราศรัยหรือโปสเตอร์อีกต่อไป แต่ได้วิวัฒนาการไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนและน่าทึ่งยิ่งขึ้น ผู้นำบางประเทศได้เปลี่ยนรัฐทั้งรัฐให้กลายเป็นเวทีละครขนาดใหญ่ โดยมีตัวเองเป็นนักแสดงนำ สร้างความเป็นจริงเสมือน (Alternate Reality) ผ่านสื่อที่ควบคุมโดยรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ เรานี้จะพาไปสำรวจสามกรณีศึกษาที่แตกต่างแต่มีเป้าหมายร่วมกัน คือการหลอมรวมตัวตนของผู้นำเข้ากับโชคชะตาของชาติ ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อที่ทั้งทรงพลังและแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ


.

 Aló Presidente: การปกครองผ่านทอล์กโชว์ในเวเนซุเอลา 

กรณีของอดีตประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ แห่งเวเนซุเอลา (เป็นผู้นำตั้งแต่ 2 ก.พ. 1999 - 5 มี.ค. 2013 ) คือตัวอย่างของการปฏิวัติรูปแบบการสื่อสารทางการเมือง เขาได้เปลี่ยน "รายการโทรทัศน์" ให้กลายเป็นเครื่องมือบริหารประเทศที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดผ่านรายการ "Aló Presidente" (สวัสดีท่านประธานาธิบดี)

นี่ไม่ใช่แค่รายการที่ผู้นำมาทักทายประชาชน แต่มันคือปรากฏการณ์ที่การปกครอง การโฆษณาชวนเชื่อ และความบันเทิง ถูกหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันอย่างสมบูรณ์ 

"Aló Presidente"  Credit ภาพ AFP

การบริหารประเทศแบบเรียลไทม์: รายการนี้ออกอากาศสดทุกวันอาทิตย์ โดยไม่มีสคริปต์ตายตัวและยาวนานหลายชั่วโมง ชาเวซใช้เวทีนี้ในการตัดสินใจเรื่องสำคัญของประเทศแบบสดๆ กลางอากาศ รายการนี้ เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกครองที่ชาเวซใช้สั่งการและประกาศนโยบายต่างๆ

การทำลายสถาบันทางการเมือง: "Aló Presidente" ทำให้ชาเวซสามารถข้ามขั้นตอนของระบบราชการและรัฐสภาได้อย่างสิ้นเชิง เขาไม่จำเป็นต้องผ่านมติใดๆ เพราะเขามีช่องทางสื่อสารและสั่งการโดยตรงกับประชาชนและคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีใครสามารถคานอำนาจได้

สุดยอดเครื่องมือสร้างลัทธิบูชาตัวบุคคล: รายการนี้ทำให้ชาเวซกลายเป็นทุกสิ่ง เขาคือ "คุณพ่อผู้รอบรู้," "คุณครูของประชาชน," และ "ผู้แก้ปัญหา" ที่ปรากฏตัวทุกสัปดาห์ สิ่งนี้สร้างความผูกพันทางอารมณ์ที่รุนแรงระหว่างตัวเขากับฐานเสียง และลบเส้นแบ่งระหว่างการบริหารประเทศที่จริงจังกับการแสดงเพื่อความบันเทิงได้อย่างสิ้นเชิง

ปรากฏการณ์ "Aló Presidente" คือบทพิสูจน์ว่าผู้นำสามารถใช้สื่อสมัยใหม่เพื่อสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับมวลชน และรวบอำนาจทั้งหมดไว้ที่ตัวเองได้อย่างไร

"Aló Presidente" Credit ภาพ AFP

"อาร์คาดัก" ผู้พิทักษ์: ประธานาธิบดีแอ็กชันฮีโร่แห่งเติร์กเมนิสถาน 

หากชาเวซคือ "นักแสดงประชานิยม" กูร์บันกูลี เบร์ดีมูฮาเมดอฟ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 2 ของเติร์กเมนิสถาน (เป็นผู้นำ 2007 - 2022) ก็คือ "แอ็กชันฮีโร่" ผู้มีพรสวรรค์รอบด้านจนเหลือเชื่อ เขาได้ยกระดับลัทธิบูชาตัวบุคคลไปอีกขั้น ด้วยการสร้างภาพลักษณ์ผ่านสื่อของรัฐให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกศาสตร์

ภาพที่สื่อของรัฐนำเสนอต่อสาธารณชนนั้นเหนือจริงจนแทบไม่น่าเชื่อ:
อัจฉริยะรอบด้าน: ประชาชนได้เห็นภาพผู้นำของพวกเขาในบทบาทต่างๆ ตั้งแต่นักแม่นปืนระดับพระกาฬ, นักแข่งรถผู้ขับรถดริฟต์รอบ "ประตูสู่นรก" (หลุมแก๊สธรรมชาติที่ลุกไหม้ตลอดเวลา), ดีเจในงานปาร์ตี้ ไปจนถึงนักกีฬาจอมพลังที่ยกบาร์เบลทองคำในการประชุมคณะรัฐมนตรี

สุนทรียศาสตร์ที่แปลกประหลาด: ในปี 2020 เขาได้เปิดตัว รูปปั้นทองคำขนาดยักษ์ของสุนัขพันธุ์อาลาไบ ซึ่งเป็นพันธุ์โปรดของเขา ตั้งตระหง่านกลางเมืองหลวง เพื่อเชิดชูสัญลักษณ์ของชาติ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ถึงความฟุ่มเฟือย

สมญานาม "อาร์คาดัก" (Arkadag): เขาให้รัฐสภาขนานนามตนเองว่า "ผู้พิทักษ์" เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้ปกป้องคุ้มครองประเทศ

กูร์บันกูลี เบร์ดีมูฮาเมดอฟ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 2 ของเติร์กเมนิสถาน Credit ภาพ AFP
กรณีของเบร์ดีมูฮาเมดอฟแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานที่น่าทึ่งระหว่างลัทธิบูชาตัวบุคคลแบบเผด็จการยุคเก่า กับสุนทรียศาสตร์แบบมิวสิกวิดีโอและคลิปไวรัลยุคใหม่ ผลลัพธ์คือมหรสพที่ดูเหมือนเรื่องตลกสำหรับโลกภายนอก แต่สำหรับประชาชนในประเทศ มันคือการตอกย้ำภาพผู้นำผู้แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบในทุกมิติ

เกาหลีเหนือ: ต้นแบบรัฐโฆษณาชวนเชื่ออันสมบูรณ์แบบ 

ทว่าตัวอย่างที่คลาสสิกและสุดขั้วที่สุดของรัฐโฆษณาชวนเชื่อ คงหนีไม่พ้นเกาหลีเหนือ ที่นี่ไม่ใช่เพียงการสร้างภาพลักษณ์ แต่เป็นการสร้าง "ความจริง" ทั้งระบบขึ้นมาใหม่ โดยมีเป้าหมายเดียวคือการค้ำจุนลัทธิบูชาตระกูลคิม และสร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองแบบสืบทอดอำนาจ

วิธีการของเกาหลีเหนือนั้นครอบคลุมทุกมิติของชีวิต :

การควบคุมข้อมูลสมบูรณ์แบบ: รัฐผูกขาดข้อมูลข่าวสารทั้งหมด ประชาชนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง

การศึกษาและศิลปะ: หลักสูตรการเรียนการสอนและงานศิลปะทุกแขนงถูกสร้างขึ้นเพื่อสรรเสริญวีรกรรม (ที่มักถูกแต่งเติม) ของตระกูลคิม

สถาปัตยกรรมเชิงสัญลักษณ์ : รูปภาพผู้นำถูกติดตั้งไว้ในทุกอาคารบ้านเรือน แม้กระทั่งการสร้าง "หมู่บ้านโฆษณาชวนเชื่อ" อย่าง คิจ็องดง บริเวณชายแดน เพื่อแสดงความเจริญรุ่งเรืองหลอกตาแก่เกาหลีใต้

เกาหลีเหนือคือบทสุดยอดของการใช้โฆษณาชวนเชื่อ ที่รัฐไม่ได้พยายามแค่ชี้นำความคิด แต่ได้สถาปนาตัวเองเป็นผู้สร้างความจริงเพียงหนึ่งเดียวสำหรับพลเมืองของตน

จากเวทีทอล์กโชว์ในเวเนซุเอลา สู่คลิปวิดีโอแอ็กชันในเติร์กเมนิสถาน และรัฐที่ถูกปิดตายในเกาหลีเหนือ กรณีศึกษาเหล่านี้เผยให้เห็นว่า แม้รูปแบบและเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไป แต่แก่นแท้ของโฆษณาชวนเชื่อยังคงเดิม นั่นคือการบิดเบือนความจริงเพื่อเป้าหมายทางการเมือง ผู้นำเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงพลังของการสร้างเรื่องเล่า ที่ซึ่งพวกเขามิได้เป็นเพียงผู้บริหารประเทศ แต่เป็นตัวละครเอกในมหรสพที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง "สงครามแย่งชิงมวลชน" ในยุคนี้ จึงเป็นการต่อสู้เพื่อควบคุมความรับรู้และความเป็นจริง ซึ่งเป็นสมรภูมิที่มองไม่เห็น แต่ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อชะตากรรมของคนทั้งชาติ

เกาหลีเหนือ: ต้นแบบรัฐโฆษณาชวนเชื่ออันสมบูรณ์แบบ  Credit ภาพ REUTERS

ที่มา : reuters the guardian carnegieendowment.org vice cnn

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related