svasdssvasds

ถ้าสวัสดิการดี แม่คงไม่ลำบากมาก ไหนดูซิ แม่ประเทศอื่น สะดวกแค่ไหน

ถ้าสวัสดิการดี แม่คงไม่ลำบากมาก ไหนดูซิ แม่ประเทศอื่น สะดวกแค่ไหน

จะทำอย่างไรให้คุณแม่ยุคใหม่หมดกังวลเรื่องการเลี้ยงดูบุตร? เมื่อการมีลูกไม่ใช่แค่เรื่องของครอบครัว แต่เป็นเรื่องของประเทศ นโยบายรัฐสวัสดิการดี ๆ จึงช่วยได้...

หลายคนพูดกันว่าการมีลูกในยุคนี้ ต้องคิดเยอะ จะมีลูกทั้งที ก็มีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มากมาย เช่น ค่าอาหาร ค่านม ค่าผ้าอ้อมสำเร็จรูป และเมื่อลูกเติบโตขึ้น ก็จะตามมาด้วย fix cost ที่ต้องจ่ายทุกเดือน เช่น ค่าขนม ค่าเรียนพิเศษ หรือแม้แต่ค่าเทอม

ถ้าสวัสดิการดี แม่คงไม่ลำบากมาก ไหนดูซิ แม่ประเทศอื่น สะดวกแค่ไหน

จนมีการตั้งคำถามกันว่า “อยากส่งลูกให้เรียนจบ ป.ตรี ต้องมีเงินเท่าไหร่? จากการคำนวณของ FINSTREET x FINNOMENA จำแนกไว้ 3 ประเภท ดังนี้

รัฐบาล - ค่าเทอมอนุบาล 1.6 บาท - ค่าเทอมประถม 2.4 หมื่นบาท - ค่าเทอมมัธยม 3.6 หมื่นบาท - ค่าเทอมปริญญาตรี 1.6 แสนบาท (4 ปี) รวม 2.4 แสนบาท

เอกชน - ค่าเทอมอนุบาล 4.8 แสนบาท - ค่าเทอมประถม 4.8 แสนบาท - ค่าเทอมมัธยม 6 แสนบาท - ค่าเทอมปริญญาตรี 8 แสนบาท (4 ปี) รวม 2.3 ล้านบาท

นานาชาติ - ค่าเทอมอนุบาล 1.4 ล้านบาท - ค่าเทอมประถม 1.8 ล้านบาท - ค่าเทอมมัธยม 3.6 ล้านบาท - ค่าเทอมปริญญาตรี 4 ล้านบาท (4 ปี) รวม 10.8 ล้านบาท

ถ้าสวัสดิการดี แม่คงไม่ลำบากมาก ไหนดูซิ แม่ประเทศอื่น สะดวกแค่ไหน

ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย มองว่าสาเหตุที่คนไทยไม่อยากมีลูกคือ ต้นทุนในการเลี้ยงลูกให้เติบโตอย่างมีคุณภาพมีค่าใช้จ่ายที่แพง เอาเฉพาะค่าเทอม อย่างน้อยต้องมีเงินติดกระเป๋าไว้ 2.4 แสนบาท กรณีส่งลูกเรียนโรงเรียนรัฐ

รวมถึงตัวพ่อแม่เอง มีความรู้สึกไม่พร้อมในหลายเรื่อง เช่น ไม่มีคนดูแลลูก ไม่มั่นใจว่าจะหาเงินซัพพอร์ตลูกได้เพียงพอ ฯลฯ เอาเป็นว่าสภาวะทำนองนี้ ส่งผลให้ไทยมีอัตราการเกิดต่ำ โดยในปี 2567 ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่ประเทศไทย มีเด็กเกิดไม่ถึง 500,000 คน

เมื่อมองว่ามนุษย์คือทรัพยากรที่สำคัญ หลายประเทศจึงออกแบบนโยบายและสวัสดิการที่ยอดเยี่ยมเพื่อสนับสนุนให้พลเมืองมีลูกได้อย่างมั่นใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเงินและการดูแลบุตร นโยบายเหล่านี้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างครอบครัว

 

  • สิทธิลาคลอดสำหรับพ่อ

แม้ญี่ปุ่นเผชิญปัญหาอัตราการเกิดต่ำไม่ต่างจากไทย แต่รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มสิทธิประโยชน์การลาคลอดสำหรับพ่อ โดยพ่อสามารถลาได้ถึง 1 ปี และอนุญาตให้พ่อสามารถลาได้ 4 สัปดาห์ในช่วง 8 สัปดาห์แรกหลังคลอด

ถ้าสวัสดิการดี แม่คงไม่ลำบากมาก ไหนดูซิ แม่ประเทศอื่น สะดวกแค่ไหน

ลาเลี้ยงดูบุตรร่วมกัน

สวีเดนมีนโยบายลาเลี้ยงดูบุตรที่ยืดหยุ่นและให้สิทธิประโยชน์สูง โดยพ่อแม่มีสิทธิลาคลอดรวมกัน 480 วันต่อลูกหนึ่งคน ในจำนวนนี้มี 390 วันที่ได้รับค่าจ้างสูงถึง 80% ของเงินเดือน และที่สำคัญคือ 90 วันในนั้นถูกสงวนไว้สำหรับพ่อเท่านั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นให้พ่อมีส่วนร่วมในการดูแลบุตรตั้งแต่แรกเกิด

 

  • สิทธิลาคลอด และได้รับเงินเดือนเต็ม แถมไม่ต้องจ่ายค่าคลอดสักบาท

สวัสดิการและนโยบายของนอร์เวย์ ไม่ได้ซัพพอร์ตแค่ด้านการเงิน แต่คิดให้ด้วยว่าพ่อและแม่จะสร้างสมดุลในชีวิต การทำงาน และการเลี้ยงลูกได้อย่างไร พ่อแม่ชาวนอร์เวย์มีสิทธิลาเลี้ยงดูบุตรรวมกัน 49 สัปดาห์ (เกือบ 1 ปี) โดยได้รับเงินเดือนเต็ม 100% หรือจะเลือกเพิ่มระยะเวลาการลาเป็น 59 สัปดาห์ แต่ได้รับเงินเดือน 80% ก็ได้เช่นกัน

สวัสดิการสุขภาพของนอร์เวย์ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่การตรวจครรภ์ครั้งแรกไปจนถึงการคลอดบุตรและการดูแลหลังคลอด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบสาธารณสุขถ้วนหน้า ทำให้คุณแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายทางการแพทย์

 

  • ของขวัญสำหรับเด็กแรกเกิด

เดิมที ฟินแลนด์จะมอบกล่องของขวัญที่เรียกว่า Maternity Box ให้กับครอบครัวผู้มีรายได้น้อย แต่ภายหลังก็เปลี่ยนมามอบให้ “คุณแม่ชาวฟินแลนด์ทุกคน” โดยพ่อแม่สามารถเลือกได้ว่าจะรับกล่องของขวัญ ที่มีของใช้จำเป็นสำหรับเด็กแรกเกิด เช่น เสื้อผ้า แพมเพิส ฯลฯ หรือจะเลือกรับเงินสดจำนวน 170 ยูโร (ราว 6,300 บาท) ก็ได้เช่นกัน

ถ้าสวัสดิการดี แม่คงไม่ลำบากมาก ไหนดูซิ แม่ประเทศอื่น สะดวกแค่ไหน

 

  • เงินสวัสดิการบุตร เงินช่วยเหลือ (สำหรับพ่อแม่)

เยอรมนีมีสวัสดิการช่วยเหลือครอบครัวในหลาย ๆ ด้าน เช่น Kindergeld หรือ เงินสวัสดิการบุตร จะมอบให้กับทุกครอบครัว เด็ก 1 คนจะได้รับเงิน 250 ยูโร หรือราว 9,300 บาท (ต่อเดือน) เรื่อยไปจนถึงอายุ 18 ปี และต่อได้ถึงอายุ 25 กรณียังศึกษาเล่าเรียนอยู่

เงินในส่วนนี้คือสำหรับใช้ส่วนตัว เพราะในเยอรมนีมีนโยบายเรียนฟรีตั้งแต่ระดับประถมถึงมหาวิทยาลัย รวมถึงการศึกษาอาชีวะที่ก็ฟรี และฝึกงานจริง แถมได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนด้วย

นี่อาจพอสะท้อนให้เห็นว่าหากรัฐบาลเข้ามามีบทบาทในการดูแลและสนับสนุนอย่างจริงจัง ก็จะช่วยให้พ่อแม่รู้สึกมั่นใจและพร้อมที่จะมีลูกมากขึ้น เพราะเมื่อมีสวัสดิการที่ดี การเลี้ยงลูกก็จะมีแต่ความรักเอาใจใส่ มิใช่กังวลแต่ปัญหาทางเศรษฐกิจอยู่ร่ำไป

 

ที่มา: Arbeidstilsynet, Republique Francaise, Tokyodev

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related