svasdssvasds

‘สภาพัฒน์’ ชี้ เอกชน 25% จ่อลดคน ปรับโครงสร้าง-หันจ้างฟรีแลนซ์

‘สภาพัฒน์’ ชี้ เอกชน 25% จ่อลดคน ปรับโครงสร้าง-หันจ้างฟรีแลนซ์

รับมือยังไงก่อน! สภาพัฒน์ เผย เอกชนไทย 25% จ่อลดคน เพื่อลดต้นทุน ปรับโครงสร้างองค์กร เบนเข็มจ้างฟรีแลนซ์-พนง.ชั่วคราว-สัญญาจ้าง

SHORT CUT

  • เศรษฐกิจปากท้องบ้านเรายังคงต้องจับตามองอย่างต่อเนื่อง สภาพัฒน์ ​เผย เอกชนไทย 25% จ่อลดคน เพื่อลดต้นทุน ปรับโครงสร้างองค์กร
  • พร้อมทั้งมีแนวโน้มเบนเข็มจ้างฟรีแลนซ์-พนง.ชั่วคราว-สัญญาจ้าง
  • สถานการณ์แรงงานไตรมาสสอง ปี 2568 ทรงตัว โดยการจ้างงานในสาขานอกภาคเกษตรกรรมอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่ภาคเกษตรกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่อง

รับมือยังไงก่อน! สภาพัฒน์ เผย เอกชนไทย 25% จ่อลดคน เพื่อลดต้นทุน ปรับโครงสร้างองค์กร เบนเข็มจ้างฟรีแลนซ์-พนง.ชั่วคราว-สัญญาจ้าง

เรื่องเศรษฐกิจปากท้องบ้านเรายังคงต้องจับตามองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจ้างงาน ล่าสุด นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2568 โดยรายงานอ้างอิง jobsdb ว่า บริษัทเอกชนไทยกว่า25% มีแนวโน้มจ่อลดคนเพื่อลดต้นทุนพร้อมปรับโครงสร้างองค์กร หันไปจ้างฟรีแลนซ์ หรือพนักงานชั่วคราว หรือแบบสัญญาจ้าง

ทั้งนี้สถานการณ์แรงงานไตรมาสสอง ปี 2568 ทรงตัว โดยการจ้างงานในสาขานอกภาคเกษตรกรรมอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่ภาคเกษตรกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่อง ซึ่งต้องเฝ้าระวังผลกระทบจากการปรับภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ข้อพิพาททางเขตแดนที่อาจยืดเยื้อ การรับมือกับรูปแบบการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคปัจจุบัน ตลอดจนอันตรายจากการทำงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

 

โดยไตรมาสสอง ปี 2568 ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.5 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 0.02 จากไตรมาสสองขอปี 2567 จากการจ้างงานในสาขานอกภาคเกษตรกรรมที่ขยายตัวร้อยละ 0.4 ซึ่งขยายตัวมากที่สุดในสาขาการขนส่งและจัดเก็บสินค้าที่ร้อยละ 7.9 รองลงมาเป็นสาขาโรงแรมและภัตตาคาร ที่ร้อยละ 3.1 และสาขาการผลิตฟื้นตัวที่ร้อยละ 0.5 ส่วนสาขาการก่อสร้างและสาขาการค้าปลีก/ค้าส่งหดตัวลงที่ร้อยละ 3.7 และ 1.2 ตามลำดับ ขณะที่การจ้างงานภาคเกษตรกรรมหดตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 0.9 โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ ชั่วโมงการทำงานของแรงงานทรงตัว โดยภาพรวมอยู่ที่ 42.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่ภาคเอกชนอยู่ที่ 46.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

‘สภาพัฒน์’ ชี้ เอกชน 25% จ่อลดคน ปรับโครงสร้าง-หันจ้างฟรีแลนซ์

ซึ่งผู้ทำงานล่วงเวลาลดลงร้อยละ 8.0 เช่นเดียวกับผู้ทำงานต่ำระดับที่ลดลงร้อยละ 4.0 สำหรับค่าจ้างแรงงานของภาคเอกชนและแรงงานในระบบเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 และ 2.5 ตามลำดับ แต่ในภาพรวมลดลงร้อยละ 1.9 อัตราการว่างงานลดลง โดยอยู่ที่ร้อยละ 0.91 จากไตรมาสสอง ปี 2567 ที่อยู่ที่ร้อยละ 1.07 หรือมีผู้ว่างงาน 3.7 แสนคน ซึ่งลดลงในกลุ่มอาชีวศึกษาและกลุ่มวิชาชีพขั้นสูง ทั้งนี้ ผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีจำนวน 2.1 ล้านคน สำหรับประเด็นที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ 1) ผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาต่อการจ้างงาน โดยสหรัฐฯ มีการเรียกเก็บภาษีหลายรูปแบบ

ทั้งการจัดเก็บภาษีเฉพาะในสินค้าบางรายการ (Specific Tariffs) การกำหนดภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่ไทยถูกจัดเก็บที่ร้อยละ 19 รวมทั้ง ยังมีมาตรการในการป้องกันการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) นอกจากนี้ ไทยยังต้องปรับภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐกว่าหมื่นรายการเป็นร้อยละ 0 โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยแข่งขันยากขึ้น และกระทบต่อการจ้างงานหรือชั่วโมงการทำงานของแรงงาน ดังนั้น ภาครัฐจึงควรสนับสนุนการเปิดตลาดใหม่ มีมาตรการปกป้องสินค้าไทย รวมถึงการตรวจสอบการสวมสิทธิของสินค้า

‘สภาพัฒน์’ ชี้ เอกชน 25% จ่อลดคน ปรับโครงสร้าง-หันจ้างฟรีแลนซ์

2) การปรับรูปแบบการจ้างงานของสถานประกอบการจากสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน โดยใน ปี 2567 องค์กรในไทยร้อยละ 25 มีแนวโน้มจะลดพนักงานและปรับโครงสร้างองค์กร โดยจะลดการจ้างงานพนักงานประจำเต็มเวลา และหันไปจ้างแบบพนักงานประจำไม่เต็มเวลา รวมถึงพนักงานสัญญาจ้าง/พนักงานชั่วคราวไม่เต็มเวลา

ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นคงในการทำงาน ระดับรายได้ ตลอดจนสิทธิตามกฎหมายต่าง ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรตรวจสอบให้การดำเนินการของสถานประกอบการเป็นไปตามกฎหมาย 3) การขาดแคลนแรงงานต่างด้าวที่ปัจจุบันแรงงานต่างด้าว 3.88 แสนคน ไม่มาต่ออายุใบอนุญาตทำงานหรือดำเนินการไม่ครบถ้วน อีกทั้งรัฐบาลกัมพูชายังมีการดำเนินมาตรการเชิงบังคับในการดึงแรงงานกลับประเทศ ทำให้สถานประกอบการใน

ภาคการก่อสร้าง ภาคการผลิต รวมถึงภาคเกษตร มีความเสี่ยงที่จะขาดแคลนแรงงานเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ครม. ได้มีมติเห็นชอบให้นำเข้าแรงงานสัญชาติอื่นเพิ่มเติม โดยเฉพาะแรงงานศรีลังกา รวมทั้งเนปาล ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียเพื่อมาทดแทนในอุตสาหกรรมที่ขาดแคลน และ 4) การเกิดอันตรายจากการทำงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แม้ว่าการประสบอันตรายกรณีร้ายแรงจะมีสัดส่วนไม่มาก

แต่งานวิจัยของมหาวิทยาลัยศิลปากร พบว่า การสูญเสียเพียงนิ้ว มือ หรือแขน จะทำให้แรงงานมีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมแย่ลง อีกทั้งยังเกิดผลกระทบทางด้านจิตใจที่ไม่อาจชดเชยได้อย่างครอบคลุม สถานประกอบการจึงควรบำรุงรักษา เครื่องมือ/เครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอ อบรมพนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัย และการชดเชยให้แก่แรงงานอาจต้องคำนึงถึงค่าเสียโอกาส

‘สภาพัฒน์’ ชี้ เอกชน 25% จ่อลดคน ปรับโครงสร้าง-หันจ้างฟรีแลนซ์

หนี้สินครัวเรือนไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 หดตัวเป็นครั้งแรก ขณะที่คุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนยังคงมีปัญหา โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อบัตรเครดิต โดยมีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่การเพิ่มจำนวนของแหล่งเงินกู้นอกระบบทางออนไลน์ และการใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (BNPL) อาจส่งผลให้ผู้บริโภคก่อหนี้เกินตัว

ไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่ารวม 16.35 ล้านล้านบาท หดตัวร้อยละ 0.1 จากการขยายตัวร้อยละ 0.2 ของไตรมาสก่อนหน้า ทำให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงต่อเนื่อง โดยมาอยู่ที่ร้อยละ 87.4 เมื่อเปรียบเทียบกับร้อยละ 88.4 ของไตรมาสที่ผ่านมา ด้านความสามารถในการชำระหนี้ครัวเรือนยังคงมีปัญหา โดยสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) หรือหนี้เสียในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มีมูลค่า 1.19 ล้านล้านบาท แม้จะมีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมร้อยละ 8.78 ปรับลดลงจากร้อยละ 8.94 ของไตรมาสก่อน และสัดส่วนหนี้ NPLs ต่อสินเชื่อรวมลดลงในเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อ

บัตรเครดิต แต่เป็นการลดลงจากการหดตัวของการให้สินเชื่อ ขณะที่สินเชื่อค้างชำระระหว่าง 1 – 3 เดือน (SMLs) กลับมีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น โดยอยู่ที่ร้อยละ 4.25 จากร้อยละ 4.17 ของไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ มีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่ 1) เงินกู้นอกระบบอาจมีแนวโน้มสูงขึ้น จากการขยายตัวของหนี้เสียที่อยู่ในระดับสูง ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้ลูกหนี้บางส่วนจำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบที่สะดวก อีกทั้ง ปัจจุบันแหล่งเงินกู้นอกระบบที่เข้าถึงได้ง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นช่องโหว่ทำให้ลูกหนี้อาจถูกเอารัดเอาเปรียบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูง และถูกทวงหนี้ด้วยวิธีที่ผิดกฎหมาย

รวมถึงอาจถูกนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในทางที่ผิด และ 2) การใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (BNPL) ที่อาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคก่อหนี้เกินตัว เนื่องจากระบบการให้สินเชื่อ BNPL ไม่ได้เชื่อมโยงกับข้อมูลรายได้หรือภาระหนี้อื่น ๆ ของลูกหนี้ และพิจารณาให้สินเชื่อจากพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านระบบ BNPL ส่งผลให้ผู้ใช้บางรายได้รับวงเงินสินเชื่อสูงเกินระดับรายได้ อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ซื้อสินค้าและบริการอื่นนอกเหนือจากใน Platform อาทิ จ่ายค่าอาหารตามร้านอาหารอีกด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related