SHORT CUT
ใช้คำพูดทิ่มแทง ดราม่าพิธีกรหญิง บูลลี่ สส.หญิงพรรคประชาชนป่วยซึมเศร้า สะท้อนโครงสร้างสังคมที่เชิดชูความไม่เท่าเทียมและขาดความรู้เท่าทันสุขภาพจิต”
สืบเนื่องจากระหว่างการถ่ายทอดสดการประชุมสภาเพื่อโหวตนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 68 มีพิธีกรคนหนึ่งได้ใช้ถ้อยคำเสียดสี สส.หญิงจากพรรคประชาชน โดยล้อเลียนภาวะซึมเศร้าที่เธอเคยเปิดเผยว่ากำลังรักษาอยู่ พร้อมทั้งหัวเราะร่วมกับผู้ร่วมรายการ
คำพูดดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการเหยียดสุขภาพจิต และกลายเป็นประเด็นดราม่ารุนแรงในสังคมออนไลน์ เพราะสะท้อนการใช้ความเจ็บป่วยของผู้อื่นเป็นมุกตลกต่อหน้าสาธารณะ
ส่วนประเด็นที่พิธีกรกล้าพูดคำต่อว่าใส่บุคคลอื่นกลางรายการออกอากาศนั้น อาจสะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่า สื่อสังคมออนไลน์มักจะ “ให้รางวัล” กับความคิดเห็นที่ลามก อนาจาร หรือสุดโต่งชวนตกใจ เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการมีส่วนร่วม (engagement) และทำให้ผู้คนใช้เวลาอยู่บนแพลตฟอร์มนานขึ้น
จะเห็นได้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะสังคมไทยมีการด้อยค่ากันผ่านโซเชียลมีเดียกันเป็นเรื่องปกติ กล่าวได้ว่า ทุนนิยมแพลตฟอร์ม” อย่างโซเชียลมีเดียอยู่ได้เพราะอารมณ์ลบของผู้ใช้ ยิ่งผู้คนโกรธ เครียด หรือตกใจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกดไลก์ คอมเมนต์ แชร์ หรือถกเถียงกันมากขึ้น ทำให้แพลตฟอร์มมีคนใช้นานขึ้นและทำเงินจากโฆษณาได้มากขึ้น ดังนั้น “ความรู้สึกแย่ ๆ” ของผู้ใช้จึงเปรียบเสมือน พลังงานที่หล่อเลี้ยงให้ระบบนี้เดินต่อไป
ปรากฏการณ์การกดขี่กันเองในสังคมที่เหลื่อมล้ำสูง อาจไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่เป็นอาการสะท้อนถึงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมและระบบเศรษฐกิจการเมืองของเรา ในสังคมเช่นนี้ ไม่ว่าใครจะอยู่ในลำดับชั้นใด ต่างก็เรียนรู้ที่จะ “เตะคนที่ต่ำกว่า” อย่างเท่าเทียมกัน ผลลัพธ์คือทุกคนมีส่วนร่วมในวงจรของการกดขี่และการผลิตซ้ำความไม่เท่าเทียม
อีกด้านหนึ่ง “ทฤษดาร์วินนิยมทางสังคม” (Social Darwinism) ได้อธิบาย “การคัดเลือกโดยธรรมชาติ” มาปรับใช้กับมนุษย์ โดยเชื่อว่ามีเพียงผู้ล่าและเหยื่อเท่านั้น ในโลกแบบนี้ ความอ่อนแอไม่ใช่สิ่งที่ควรได้รับการปกป้อง แต่เป็นเพียงข้อพิสูจน์ว่าผู้แพ้ไม่ควรอยู่รอด แนวคิดนี้ตอกย้ำการกดขี่ซ้ำ ๆ และทำให้การเอารัดเอาเปรียบกลายเป็นเรื่อง “สมเหตุสมผล”
เมื่อใช้กรอบคิดนี้ คนบางกลุ่มจึงรู้สึกว่าการดูถูกหรือเหยียบย่ำผู้ป่วยเป็นเรื่อง สมเหตุสมผล เพราะถือว่าผู้ป่วย “สมควรเจ็บปวด” อยู่แล้ว เช่นคนที่ป่วยโรคซึมเศร้า ก็ต้องดู “อ่อนแอ” หรือ “ไม่สามารถแข่งขันได้”
พฤติกรรมเช่นนี้อาจเข้าข่าย การตีตราทางภาษา (stigmatizing language) ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงคำล้อเลียนธรรมดา แต่เป็นการสื่อสารที่ทำให้ผู้ป่วยถูกมองว่าเป็น “คนอื่น” หรือ “ด้อยกว่า” การเลือกใช้คำพูดจึงมีผลต่อทัศนคติของผู้ฟัง และสามารถทำให้ผู้ป่วยถูกกีดกันทางสังคมอย่างไม่รู้ตัว
จากข้อมูลของ MHFA Australia (Mental Health First Aid Australia) ระบุว่า คำพูดเชิงดูหมิ่น เช่น “ไอ้เพี้ยน”, “บ้า”, หรือ “ประสาท” แม้ใช้ในเชิงเล่นสนุก ก็สร้างความเจ็บปวดและบั่นทอนคุณค่าของผู้ฟังได้จริง ที่สำคัญยังส่งผลให้สังคมเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยจิตเวชเป็น “คนที่ด้อยกว่า” หรือเป็นภาระต่อผู้อื่น
ปรากฏการณ์นี้จึงอาจสะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยยังขาด “ความรู้เท่าทันทางสุขภาพจิต” และยังติดอยู่กับโครงสร้างที่เชิดชูการแข่งขัน กดทับความอ่อนแอ และปล่อยให้คำพูดรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติ แม้กระทั่งคนที่ทำหน้าที่เป็นสื่อ ก็ยังขาดความตระหนักรู้ต่อผู้ป่วย
ที่มา : washingtonpost/ mhfa
ข่าวที่เกี่ยวข้อง