SHORT CUT
ซานาเอะ ทาคาอิชิ ว่าที่นายกหญิงคนแรกของญี่ปุ่น จุดกระแสวิจารณ์ทั่วประเทศ หลังประกาศ “จะให้ทุกคนทำงานเหมือนม้า” และ “ละทิ้งแนวคิด work-life balance”
ในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังจะได้ผู้นำหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ กลับเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรง เมื่อ ซานาเอะ ทาคาอิชิ (Sanae Takaichi) ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่จากพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) กล่าวถ้อยคำที่สะเทือนสังคมว่า เธอจะ “ให้ทุกคนทำงานเหมือนม้าใช้งาน” และ “จะละทิ้งแนวคิดเรื่องสมดุลชีวิตกับการทำงาน (work-life balance)” เพื่อทุ่มเทให้กับการฟื้นพรรคและประเทศ
คำพูดดังกล่าวจุดชนวนเสียงวิจารณ์จากหลายฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มทนายความที่ทำงานช่วยเหลือครอบครัวเหยื่อ “คาโรชิ” (Karoshi) หรือผู้เสียชีวิตจากการทำงานหนักเกินไป พวกเขาออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทาคาอิชิถอนคำพูด โดยระบุว่าถ้อยแถลงเช่นนี้ “เป็นอันตราย” ต่อความพยายามของประเทศที่กำลังปรับปรุงวัฒนธรรมการทำงานให้มีสุขภาพและสมดุลมากขึ้น
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากซานาเอะ ทาคาอิชิชนะการเลือกตั้งภายในพรรค LDP เอาชนะรัฐมนตรีเกษตรหนุ่ม ชินจิโร โคอิซูมิ (Shinjiro Koizumi) และเตรียมขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ทาคาอิชิซึ่งมีแนวคิดอนุรักษนิยม ย้ำว่าเธอต้องการ “พลิกฟื้นพรรคและประเทศ” ท่ามกลางความนิยมที่ตกต่ำจากคดีอื้อฉาวหลายกรณี เธอกล่าวต่อสมาชิกพรรคว่า “ฉันจะทำงาน ทำงาน ทำงาน และทำงาน” พร้อมยืนยันว่าจะเป็นตัวอย่างของผู้นำที่ทุ่มเทอย่างเต็มที่
แต่ในอีกด้านหนึ่ง คำพูดของเธอกลับสะเทือนใจครอบครัวของผู้ที่สูญเสียคนรักจากการทำงานหนักเกินไป โดยเฉพาะญาติของเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยที่เสียชีวิตในปี 2014 ซึ่งต่อมาถูกยอมรับว่าเป็นเหยื่อ “คาโรชิ” ครอบครัวดังกล่าวออกแถลงการณ์ระบุว่า “เรารู้สึกโกรธมาก เธอไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่สูญเสียคนในครอบครัวเพราะการทำงานเกินกำลัง เธอควรออกมาขอโทษ”
สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ยิ่งกลายเป็นประเด็นอ่อนไหว คือ ซานาเอะ ทาคาอิชิ เคยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในปี 2019 ซึ่งเป็นช่วงที่ทางการยอมรับอย่างเป็นทางการว่า คดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐรายหนึ่งเกิดจากการทำงานหนักเกินไป หรือ “คาโรชิ”
ดังนั้น เมื่อเธอออกมาพูดว่า “จะละทิ้งแนวคิดเรื่องสมดุลชีวิตกับการทำงาน” จึงถูกมองว่าเป็นการย้อนกลับไปสู่ยุคเดิม ที่คนทำงานต้องแบกรับภาระหนักโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพหรือคุณภาพชีวิต
ที่มา : japantoday
ข่าวที่เกี่ยวข้อง