
SHORT CUT
การเขียนสร้างสรรค์การเขียนเชิงสร้างสรรค์: พื้นที่ลับของผู้ใหญ่ ที่เราใช้ปลดปล่อยภาระชีวิตและฟื้นพลังให้จิตใจ
ในโลกที่ความจริงจังท่วมท้นชีวิตประจำวัน ผู้ใหญ่จำนวนมากอาจลืมไปแล้วว่า ครั้งหนึ่งเราเคยมี “พื้นที่เล่น” ที่เปิดกว้างสำหรับความฝันและจินตนาการ
วงการวรรณกรรมและจิตบำบัด มีความคิดหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือการมอง “การเขียนเชิงสร้างสรรค์” ที่ไม่ใช่เพียงงานศิลปะ หากแต่เป็นรูปแบบหนึ่งของการดูแลสุขภาพจิต เป็นบันไดที่พาเราย้อนกลับไปหาเด็กในใจที่ยังเฝ้ารอพื้นที่ของตัวเอง
ตลอดปีที่ผ่านมา ทีมนักวิชาการที่ Boston College ได้ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรปริญญาโทการเขียนสร้างสรรค์ ที่ผสานมนุษยศาสตร์กับจิตวิทยาเข้าด้วยกัน จุดตั้งต้นคือแนวคิดว่า “งานเขียนที่ดีเกิดจากการคิดอย่างดี” และเบื้องหลังการเขียนทุกชิ้นล้วนมีพลังทางจิตใจบางอย่างซ่อนอยู่เสมอ นักเขียนจำนวนมากพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การเขียนคือสิ่งที่ทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาและรู้สึกเป็นตัวของตัวเองที่สุด แต่เหตุผลที่แท้จริงนั้นยังไม่ค่อยถูกอธิบายอย่างจริงจังนัก
มุมมองหนึ่งที่ช่วยคลี่เรื่องนี้ให้กระจ่างขึ้น มาจากบทความเก่าแก่ของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ เมื่อปี 1907 ที่มักถูกมองข้ามไป ในงานเขียนเรื่อง Creative Writing and Day-Dreaming ฟรอยด์เสนอภาพที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า นักเขียนทำงานเหมือนเด็กที่กำลังเล่น เด็กสร้างโลกสมมติขึ้นด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม รู้ดีว่าไม่ใช่ความจริง แต่ก็ทุ่มหัวใจทั้งหมดให้กับมัน เช่นเดียวกัน นักเขียนเองก็รู้ว่าเรื่องที่เขาเขียนไม่ใช่โลกจริง แต่กลับให้ความสำคัญกับมันอย่างลึกซึ้งราวกับมีชีวิต
ในสายตาของฟรอยด์ “แฟนตาซี” ไม่ใช่สิ่งไร้สาระ แต่เป็นส่วนประกอบสำคัญของชีวิตจิตใจมนุษย์ ทุกคนจำเป็นต้องมีพื้นที่ให้ความปรารถนา ความกลัว และความหวังในใจได้เคลื่อนไหวอย่างอิสระ และการเขียนคือเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้เราทำสิ่งนี้ได้อย่างปลอดภัย ฟรอยด์เชื่อว่า หากเรายอมรับจินตนาการของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา รู้ว่าเป็นสมมติ แต่ยังมอบคุณค่าให้มัน เราจะสามารถเปลี่ยนความรู้สึกที่ไม่ได้รับการเอ่ยออกมาให้กลายเป็นสิ่งสร้างสรรค์ได้ และนี่คือสิ่งที่ศิลปินทำอยู่ทุกวัน
สิ่งที่น่าสนใจคือ ฟรอยด์ไม่ได้จำกัดแนวคิดนี้ไว้เพียง “นักเขียนตัวจริง” เขาเชื่อว่าเราทุกคนต่างเป็นนักเขียนในแบบของตัวเอง คนทุกวัยสร้างเรื่องราวในหัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นขณะฝันกลางวัน คิดถึงอนาคต หรือแม้แต่จินตนาการถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นแต่ยังไม่เกิด เพียงแต่ว่าศิลปินกล้าบอกเล่าโลกเหล่านั้น ในขณะที่ผู้ใหญ่มักเก็บงำมันเอาไว้
ความเขินอายนี้เองที่ทำให้หลายคนสูญเสียความสามารถในการ “เล่น” ทางจิตใจ ทั้งที่แท้จริงแล้ว เด็กในใจของเรายังต้องการพื้นที่เช่นนั้นอย่างที่สุด เพราะการจินตนาการเป็นช่องว่างแคบ ๆ ที่เปิดให้เราพักจากความจริงอันหนักหน่วงของแต่ละวัน เป็นหน้าต่างที่ทำให้เรามองเห็นว่าชีวิตอาจมีความเป็นไปได้อื่น ๆ อีกมากมาย อาจดีกว่า อ่อนโยนกว่า หรือยุติธรรมกว่าโลกที่เราเผชิญอยู่
หากเราอนุญาตให้ตัวเองกลับไปเล่นอีกครั้ง ไม่ใช่ในสวนสนุก แต่ในหน้ากระดาษหรือโลกสมมติที่เราสร้างขึ้นเอง เราอาจค้นพบว่าการเขียนนั้นไม่ใช่เพียงการผลิตตัวอักษร แต่เป็นการดูแลจิตใจ เป็นการฟังเสียงลึก ๆ ของตัวเอง และเป็นการเปิดพื้นที่ให้จินตนาการกลับมาหายใจได้อีกครั้ง
ที่มา : psychologytoday
ข่าวที่เกี่ยวข้อง