svasdssvasds

ประวัติศาสตร์ย่อการขอรับบริจาค ตั้งแต่โบราณถึงยุคปัจจุบัน

ประวัติศาสตร์ย่อการขอรับบริจาค ตั้งแต่โบราณถึงยุคปัจจุบัน

ย้อนประวัติศาสตร์การบริจาคของมนุษย์ชาติ ริ่มจากศีลธรรม สู่ระบบแห่งการให้ที่สะท้อนพัฒนาการของอารยธรรมมนุษย์

SHORT CUT

  • ตั้งแต่ยุคโบราณ มนุษย์เชื่อว่าการให้คือหน้าที่ทางศาสนาและศีลธรรม เมื่อเวลาผ่านไป การให้กลายเป็นกิจกรรมที่สะท้อนค่านิยมร่วมในชุมชน
  • ยุคกลาง โบสถ์และศาสนจักรทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการช่วยเหลือ ต่อมาในยุคฟื้นฟูและตรัสรู้ แนวคิดเรื่อง “การให้เพื่อแก้ปัญหา” แทน “การให้เพื่อบุญ” เริ่มปรากฏ
  • ผู้บริจาคยุคใหม่จึงไม่เพียงต้องการช่วยเหลือ แต่ยังต้องการเห็น “ผลกระทบที่วัดได้” ซึ่งสะท้อนว่า การให้กลายเป็นกิจกรรมที่ผสมผสานทั้งเมตตา เหตุผล และนวัตกรรมเข้าด้วยกัน

ย้อนประวัติศาสตร์การบริจาคของมนุษย์ชาติ ริ่มจากศีลธรรม สู่ระบบแห่งการให้ที่สะท้อนพัฒนาการของอารยธรรมมนุษย์

การบริจาคหรือการกุศล เป็นหนึ่งในพฤติกรรมพื้นฐานที่สะท้อนความเป็นมนุษย์มากที่สุด มันแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจ ความเชื่อทางศาสนา และความพยายามที่จะสร้างสังคมที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะผ่านการมอบทรัพย์สิน เวลา หรือแรงงาน การให้จึงเหมือนการ “สร้างสายสัมพันธ์” ระหว่างคนในสังคมตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

 

ยุคโบราณ: จุดเริ่มต้นของการให้

ในยุคโบราณ แนวคิดของ “การบริจาค” เกิดขึ้นในหลายอารยธรรมพร้อม ๆ กัน และล้วนเชื่อมโยงกับศาสนาและศีลธรรมมาก่อนสิ่งอื่นใด ในวัฒนธรรมของชาวฮีบรู การให้คือ  “ความชอบธรรม” และ “หน้าที่ทางศีลธรรม” ของผู้มีทรัพย์ที่จะต้องช่วยผู้ยากไร้ การให้จึงไม่ใช่เรื่องสมัครใจ หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของความดีงามที่คนควรทำเพื่อสังคม

ในกรีกโบราณ การให้ก็มีความหมายที่ซับซ้อนกว่าแค่ความเมตตา มันถูกผูกเข้ากับหน้าที่พลเมืองและการสนับสนุนสิ่งสาธารณะ เช่น การสร้างโรงละคร สนามกีฬา หรือถนนที่ใช้ร่วมกัน ขณะที่ในจักรวรรดิโรมัน การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสเริ่มมีระบบมากขึ้น เช่น “โครงการ alimenta” ของจักรพรรดิ Augustus Caesar ที่มอบเงินและอาหารให้เด็กยากจน ถือเป็นการวางรากฐานแนวคิดสวัสดิการของรัฐในยุคต้น

PHOTO Wellcome Collection

ในเอเชียก็มีการให้ที่หยั่งรากลึกไม่แพ้กัน อินเดียมีคำว่า “dāna” ในพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคุณธรรมหลักของผู้ศรัทธา การบริจาคในบริบทนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อช่วยเหลือ แต่เพื่อสร้างบุญและลดความยึดติดทางใจ 

ส่วนในจีน ความคิดเรื่อง หรือ “เมตตา” ของขงจื๊อ ส่งผลให้การดูแลผู้ยากไร้กลายเป็นหน้าที่ของผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะในยามวิกฤต เช่น ภัยแล้งหรืออุทกภัย จักรพรรดิมักสั่งตั้งคลังอาหารไว้แจกจ่ายประชาชน

: World History Encyclopedia

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ในยุคที่ยังไม่มีคำว่า “องค์กรการกุศล” การให้ก็เป็นกิจกรรมที่ผูกพันกับศาสนา ศีลธรรม และความอยู่รอดของชุมชนมาแต่แรก

ยุคกลางและยุคฟื้นฟู: ศาสนาและสถาบันกลายเป็นหัวใจของการให้

เมื่อยุโรปเข้าสู่ยุคกลาง การบริจาคและงานกุศลกลายเป็นส่วนสำคัญของศาสนาคริสต์ โบสถ์และอารามกลายเป็นศูนย์กลางของการช่วยเหลือผู้ยากไร้ พระสงฆ์และนักบวชเป็นผู้แจกจ่ายอาหาร เสื้อผ้า และที่พักพิงให้คนจน เด็กกำพร้า หรือหญิงม่าย “การให้” จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของปัจเจก แต่กลายเป็นภารกิจทางศาสนา  

ประวัติศาสตร์ย่อการขอรับบริจาค ตั้งแต่โบราณถึงยุคปัจจุบัน

มื่อยุโรปเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา แนวคิดเรื่อง “มนุษยนิยม” (Humanism) เริ่มแพร่หลาย ผู้คนเริ่มมองว่ามนุษย์มีศักยภาพในการสร้างสังคมที่ดีขึ้นด้วยตนเอง การบริจาคจึงไม่จำเป็นต้องอ้างอิงศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบทางสังคม ตัวอย่างเช่น การก่อตั้งโรงพยาบาล บ้านพักคนชรา และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในเมืองใหญ่ของอิตาลี อังกฤษ และฝรั่งเศส การให้เริ่มเปลี่ยนจาก “บุญทางศาสนา” สู่ “การพัฒนาสังคม” อย่างแท้จริง

ยุคอุตสาหกรรม: ความมั่งคั่งและการก่อตั้งมูลนิธิ

ศตวรรษที่ 19 คือยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม เมืองขยายตัวอย่างรวดเร็ว ความยากจนและความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น คนรวยยิ่งรวย คนจนยิ่งจน ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป จึงเกิดแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “The Gospel of Wealth” โดย "แอนดรูว์ คาร์เนกี" (Andrew Carnegie) ซึ่งเชื่อว่า คนมั่งคั่งมี “ภาระหน้าที่” ในการนำทรัพย์สินคืนสู่สังคม

ประวัติศาสตร์ย่อการขอรับบริจาค ตั้งแต่โบราณถึงยุคปัจจุบัน

ผลลัพธ์คือการก่อตั้งมูลนิธิขนาดใหญ่ เช่น Carnegie Foundation และ Rockefeller Foundation ซึ่งไม่เพียงบริจาคเงิน แต่ยังวางระบบเพื่อให้ทรัพยากรถูกใช้ให้เกิดผลยั่งยืนที่สุด แนวคิดนี้นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “scientific philanthropy” การกุศลเชิงวิทยาศาสตร์ ที่ใช้การวางแผนและข้อมูลในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การศึกษา การสาธารณสุข และวิทยาศาสตร์ 

ยุคสมัยใหม่ การบริจาคไร้พรมแดน

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมกลายเป็นประเด็นระดับโลก องค์กรอย่าง สภากาชาด (Red Cross) และ UNICEF จึงโดดเด่นขึ้นจากการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั่วโลก พร้อมกันนั้น แนวคิดเรื่อง “การพัฒนาระหว่างประเทศ” (international development) ก็เกิดขึ้น โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาระยะยาว เช่น ความยากจน โรคภัย และการขาดโครงสร้างพื้นฐานในประเทศกำลังพัฒนา ผ่าน 3 วิธีหลักดังนี้ 

1. การทำให้การระดมทุนเป็น “อาชีพ” (Professionalization of Fundraising)

สภากาชาดเป็นหนึ่งในองค์กรแรก ๆ ที่ทำให้ “การระดมทุน” กลายเป็นงานที่มีระบบและมีแผนชัดเจน ไม่ใช่เพียงการขอเงินบริจาคทั่วไป พวกเขาคิดค้นเทคนิคต่าง ๆ ที่ยังใช้กันอยู่จนทุกวันนี้ เช่น การส่งจดหมายขอรับบริจาค (direct mail) การใช้สื่อมวลชนสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้คนร่วมบริจาค แนวทางเหล่านี้ทำให้การระดมทุนกลายเป็นศาสตร์ที่ต้องใช้ทั้งกลยุทธ์ การสื่อสาร และการวางแผนทางจิตวิทยาให้ผู้คนอยากบริจาค 

2.การช่วยเหลือผู้ประสบภัยและระดมทุนฉุกเฉิน (Disaster Relief Fundraising)

เมื่อเกิดภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว น้ำท่วม หรือสงคราม สภากาชาดมักเป็นองค์กรแรกที่เข้าช่วยเหลือและเปิดระดมทุนทันที การระดมทุนขนาดใหญ่เหล่านี้ไม่เพียงช่วยผู้ประสบภัยโดยตรง แต่ยังเป็น “ต้นแบบ” ให้กับองค์กรอื่น ๆ ทั่วโลกเรียนรู้และนำไปใช้

3.การขยายแนวคิด “การให้ระดับโลก” (Internationalization of Giving)

ก่อนหน้าสภากาชาด ผู้คนมักบริจาคให้เฉพาะคนในชุมชนหรือตามศาสนาของตนเอง แต่สภากาชาดได้เปลี่ยนทัศนคตินั้น โดยเปิดรับบริจาคจากคนทั่วโลก เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศอื่น แนวคิดนี้ทำให้เกิด “การให้แบบไร้พรมแดน” และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการบริจาคในระดับสากลที่เราเห็นในปัจจุบัน

Unicef

 

ปัจจุบัน ยุคตกต่ำของการให้ 

แม้การบริจาคจะเฟื่องฟูมาตลอด  แต่ความจริง ณ เวลานี้คือ  “ผู้บริจาคกำลังหายไป” และแนวโน้มนี้กำลังแย่ลงเรื่อย ๆ
จำนวนคนที่บริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลทั่วโลกลดลงอย่างเห็นได้ชัด

จากข้อมูลล่าสุดของ Gallup ระบุว่า “เส้นทางแห่งความเมตตาของโลกอาจกำลังชะลอตัว หลังจากพุ่งสูงสุดระหว่างปี 20212023 กิจกรรมด้านจิตอาสา เช่น การบริจาค การช่วยเหลือผู้อื่น และการอาสา ลดลงอย่างมากในปี 2024 

แม้ตัวเลขรวมของเงินบริจาคอาจดูไม่ตกมากนัก แต่นั่นเป็นเพราะ กลุ่มคนรวยที่สุด ยังคงบริจาคในระดับสูงกว่าปกติ ทำให้ยอดรวมดูดีอยู่ แต่ในความเป็นจริง กลุ่มผู้บริจาคระดับกลางและรายย่อย  ซึ่งมีจำนวน “นับล้านคน”  กำลังหายไปเงียบ ๆ

ผลที่ตามมาคือ องค์กรไม่แสวงผลกำไรหลายแห่งอาจยังเห็นงบประมาณที่ “ดูดีบนกระดาษ” เพราะได้เงินจากผู้บริจาครายใหญ่ไม่กี่ราย แต่ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่คือ หากผู้บริจาครายใหญ่เหล่านั้นหยุดให้เมื่อใด องค์กรจะไม่มีฐานผู้บริจาคทั่วไปเพียงพอที่จะชดเชยได้

คนนับถือศาสนาน้อยลง 

หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือ การมีส่วนร่วมทางศาสนาที่ลดลง ผู้ที่เป็นสมาชิกชุมชนทางศาสนาและเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนามีแนวโน้มจะบริจาคมากกว่าผู้ที่ไม่มีการมีส่วนร่วม. จากข้อมูลของบทความพบว่า ในยุค 1950s มีผู้ระบุว่าไม่มีศาสนาราว 2-3 % เท่านั้น แต่ปัจจุบันตัวเลขนี้ขึ้นไปมากกว่า 20 % และจำนวนสมาชิกโบสถ์ต่างๆ ลดลงจากราว 73 % เหลือ 47 %. เมื่อผู้คนมีส่วนร่วมทางศาสนาน้อยลง กิจกรรมบริจาคซึ่งมักจะเชื่อมโยงกับชุมชนศาสนาก็ลดลงตามไปด้วย

การช่วยเหลือควรเป็นหน้าที่ของรัฐฯ มากกว่า 

อีกสาเหตุคือความเชื่อว่า “รัฐควรเป็นผู้ดูแล” แทนที่การให้ส่วนบุคคล ผู้คนรุ่นใหม่มากขึ้นมีความคิดว่า รัฐหรือหน่วยงานสาธารณะควรเข้ามาดูแลปัญหาสังคมที่เคยเป็นหน้าที่ขององค์กรไม่แสวงผลกำไร และด้วยความคิดนี้ ผู้คนจึงมีแรงจูงใจบริจาคน้อยล

นอกจากนี้ ความไว้วางใจในองค์กรไม่แสวงผลกำไร ได้ลดลงอย่างมาก ผู้คนจำนวนมากกล่าวว่าสงสัยในประสิทธิภาพหรือความโปร่งใสขององค์กรดังกล่าว หนึ่งในการสำรวจพบว่า เพียง 57 % ของผู้คนเชื่อว่าองค์กรภาคประชาสังคม (NGO) สามารถแก้ไขปัญหาสังคมได้จริง เมื่อตัวเลขความไว้วางใจลด การบริจาคก็ได้รับผลกระทบโดยตรง

ที่มา : imarketsmart / developmentdepartment

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

related