svasdssvasds

"ความต่างไม่ใช่เรื่องตลก” หยุดใช้คำล้อเลียน LGBTQ+ ออกสื่อ

"ความต่างไม่ใช่เรื่องตลก” หยุดใช้คำล้อเลียน LGBTQ+ ออกสื่อ

แม้สังคมจะเปิดกว้างมากขึ้น แต่สื่อบางส่วนยังใช้คำล้อเลียน LGBTQ+ ซึ่งไม่เพียงทำร้ายจิตใจผู้ถูกกล่าวถึง แต่ยังบั่นทอนความพยายามของสังคมในการสร้างความเข้าใจ

SHORT CUT

  • คำพูดที่ดูเหมือนขำขันอาจสร้างบาดแผลทางใจให้กับผู้ที่ถูกล้อเลียน โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ ที่มักต้องเผชิญกับการถูกดูหมิ่นเรื่องเพศสภาพ การถูกเรียกด้วยคำดูถูกอาจทำให้รู้สึกด้อยค่า สูญเสียความมั่นใจ และเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าหรือพฤติกรรมทำร้ายตัวเองในระยะยาว
  • สื่อเป็นตัวกำหนดทัศนคติของสังคม การนำเสนอที่ใช้คำล้อเลียนหรือเหมารวมเพศทำให้คนดูโดยเฉพาะเยาวชนเข้าใจผิดว่าความแตกต่างทางเพศเป็นเรื่องตลก ในทางกลับกัน
  • หากสื่อเลือกใช้คำที่ให้เกียรติและเท่าเทียม จะช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและลดอคติในสังคมได้

 

แม้สังคมจะเปิดกว้างมากขึ้น แต่สื่อบางส่วนยังใช้คำล้อเลียน LGBTQ+ ซึ่งไม่เพียงทำร้ายจิตใจผู้ถูกกล่าวถึง แต่ยังบั่นทอนความพยายามของสังคมในการสร้างความเข้าใจ

แม้สังคมจะเปิดกว้างและให้การยอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น แต่ในสื่อบางแขนงยังคงได้ยินหรือเห็นการใช้คำพูดที่ลดทอนคุณค่าของกลุ่ม LGBTQ+ อยู่บ่อยครั้ง  ไม่ว่าจะในรูปแบบมุกตลก ล้อเลียน หรือการใช้คำแทนที่สื่อถึงความ “ผิดปกติ” ของเพศสภาพ

การใช้ถ้อยคำเหยียดหยามหรือดูหมิ่นกลุ่มผู้ LGBTQ+ ผ่านทางสื่อสาธารณะนั้นส่งผลเสียหลายด้าน ทั้งทางจิตใจของผู้ถูกกระทบ, ทางสังคมในภาพรวม, และอาจขัดต่อกฎหมายหรือหลักสิทธิมนุษยชนที่มีอยู่ ในบทความนี้ขออธิบายเหตุผลผลกระทบหากเรายังใช้คำล้อเลียน LGBTQ+ ออสื่อ  

ด้านจิตวิทยา ผลกระทบทางจิตใจ

คำพูดล้อเลียนสามารถสร้างบาดแผลทางใจให้กับผู้ที่ตกเป็นเป้า โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ ที่มักเผชิญกับการกลั่นแกล้งหรือล้อเลียนเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศของตน การถูกเรียกด้วยถ้อยคำดูถูกไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หลายคนอาจรู้สึกสูญเสียคุณค่าในตนเอง, เกิดความรู้สึกอับอายหรือด้อยค่า, และนำไปสู่ภาวะเครียดหรือซึมเศร้าได้ การวิจัยพบว่าในหมู่นักเรียนที่ถูกกลั่นแกล้งเพราะเป็น LGBTQ+ นั้น มีอัตราภาวะซึมเศร้าสูงถึง 23% เทียบกับเพียง 6% ในกลุ่มที่ไม่เคยถูกกลั่นแกล้ง อีกทั้งยังพบว่านักเรียนกลุ่มนี้ เกือบ 7% เคยพยายามฆ่าตัวตายภายในปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ถูกกลั่นแกล้งมาก

ด้านการชี้นำสังคม

สื่อมวลชนและสื่อบันเทิงมีอิทธิพลอย่างมากต่อทัศนคติและค่านิยมของสังคม การนำเสนอเรื่องราวหรือการใช้ภาษาของสื่อสามารถสร้างความเข้าใจหรือทำลายความเข้าใจต่อประเด็นความหลากหลายทางเพศได้ สังคมไทยในอดีตมีกรณีที่สื่อโทรทัศน์ ละคร หรือรายการตลก มักนำเสนอตัวละครที่เป็น LGBTQ+ ในลักษณะเหมารวมและมีอคติ เช่น ให้ตัวละครชายรักชายหรือคนข้ามเพศเป็นตัวตลกประหลาด เพื่อเรียกเสียงหัวเราะ โดยมักแสดงออกเกินจริงหรือถูกมองว่าเป็นคนหมกมุ่นในเรื่องเพศ การนำเสนอเช่นนี้ผ่านสื่อกระแสหลักไม่เพียงตอกย้ำภาพจำที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมต่อกลุ่ม LGBTQ+ แต่ยังปลูกฝังค่านิยมผิดๆ ให้กับผู้ชมในวงกว้าง โดยเฉพาะเยาวชนที่เสพสื่อเหล่านี้ อาจซึมซับความคิดว่าการเยาะเย้ยหรือขบขันกับอัตลักษณ์ทางเพศของคนอื่นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้

แม้บางกรณีมีบ้างที่ LGBTQ+ จะเป็นคนทำผิดหรือทำตัวไม่เหมาะสม แต่การนำเสนอข่าวของพวกเขา สื่อก็ควรใช้ภาษาที่ถูกต้องในการพูดถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อให้สังคมจะตระหนักว่า “ความแตกต่างทางเพศไม่ใช่เรื่องตลก”  ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนที่มุ่งหวังให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียมในสังคม

คนในสังคมจะตระหนักว่า “ความแตกต่างไม่ใช่เรื่องตลก” และการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคนไม่ว่าจะมีเพศภาวะหรือรสนิยมทางเพศอย่างไรก็เป็นสิ่งจำเป็น 

ที่มา : empowerliving

related