svasdssvasds

พรรคกล้าธรรม ยืนยัน ร.อ.ธรรมนัส ไม่เอี่ยวแก๊งสแกมเมอร์

พรรคกล้าธรรม ยืนยัน ร.อ.ธรรมนัส ไม่เอี่ยวแก๊งสแกมเมอร์

พรรคกล้าธรรมโต้ ส.ส.รังสิมันต์ ยืนยัน ร.อ.ธรรมนัส ไม่เอี่ยวแก๊งสแกมเมอร์ "เบน สมิธ"! ชี้ถูกโยงจากข้อมูลเท็จ-สับสนตัวตนคดี Tian Tian Ventures

ตามที่ได้มีการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรและให้สัมภาษณ์โดย นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ เกี่ยวกับกรณีของ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (Ben “เบน” สมิธ) โดยมีการพาดพิงเชื่อมโยง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายแก๊งหลอกลวง (สแกมเมอร์)

และธุรกิจสีเทาข้ามชาติ พรรครู้สึกเสียใจต่อข้อกล่าวหาอันปราศจากหลักฐานดังกล่าว และขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อตอบโต้ทุกประเด็นอย่างครบถ้วน ดังนี้

 

ลำดับเหตุการณ์ ต้นกันยายน – ปลายตุลาคม 2568

ต้นเดือนกันยายน 2568

เกิดกระแสข่าวจากสื่อต่างประเทศที่กล่าวถึงชื่อ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ “เบน สมิธ” ในบริบทเชื่อมโยงกับขบวนการหลอกลวงออนไลน์และกลุ่มทุนสีเทาข้ามชาติ ซึ่งสร้างความสนใจให้สังคมไทยในวงกว้าง แม้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันจากหน่วยงานทางการไทยในขณะนั้น แต่ชื่อของ “เบน สมิธ” เริ่มถูกจับตามองอย่างมาก

30 กันยายน 2568

ในการอภิปรายแถลงนโยบายรัฐบาลเรื่องความมั่นคง นายรังสิมันต์ โรม ได้หยิบยกกรณี “เบน สมิธ” ขึ้นมากล่าวอ้างในสภา โดยกล่าวหาว่าเบน สมิธเคยชักชวนคนไทยลงทุน เชื่อมโยงเครือข่ายทุนจีนสีเทาในกัมพูชา-เมียนมา พัวพันกรณีธนาคาร BIC และพยายามขอสัญชาติไทย ทั้งยังอ้างว่า เบน สมิธ มีความสัมพันธ์รู้จักมักคุ้นกับ ร.อ.ธรรมนัส เป็นอย่างดี นอกจากนี้ นายรังสิมันต์ยังพาดพิงว่าเบน สมิธเคยถูก ก.ล.ต. กล่าวโทษกรณีบริษัท Tian Tian Ventures และเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลอกลงทุนข้ามชาติด้วย ซึ่งล้วนเป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบยืนยันอย่างรอบด้าน

 

2 ตุลาคม 2568

ร.อ.ธรรมนัสได้รับทราบถึงเนื้อหาการอภิปรายที่พาดพิงตน ซึ่งเต็มไปด้วยการคาดเดาโดยปราศจากหลักฐานชัดเจน ท่านได้แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งต่อการถูกโยงว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ ทั้งยืนยันว่ายังไม่ได้มีตรงไหนที่นายรังสิมันต์สามารถชี้ชัดได้ว่า “ธรรมนัสทำสแกมเมอร์หรือฟอกเงิน” เลย การโยงชื่อท่านเข้ากับเรื่องนี้ถือว่าเกินเลยและไม่มีมูลความจริง ท่านธรรมนัสจึงเตรียมดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตนเองจากข้อมูลเท็จที่ถูกเผยแพร่ (ทั้งนี้ นายรังสิมันต์เองยังยอมรับผ่านเฟซบุ๊ก ว่า “ผมยังไม่ได้บอกตรงไหนว่าท่านทำสแกมเมอร์หรือทำธุรกิจฟอกเงิน” มีแต่เพียงกล่าวอ้างว่า “เบน สมิธ คนของฮุนเซนรู้จักท่านดี” เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่หลักฐานยืนยันความผิดใดๆ)

3 ตุลาคม 2568

นายเบน สมิธ ได้ออกแถลงการณ์โต้ตอบเป็นครั้งแรก ยืนยันว่าตนเองถูกใส่ร้ายด้วยข้อมูลเท็จ ทั้งย้ำว่า “ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซนเตอร์ ฟอกเงิน หรืออาชญากรรมใดๆ” และประกอบธุรกิจสุจริตมาโดยตลอดในประเทศไทย พร้อมประกาศว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ที่ทำให้เกิดการกล่าวหาเท็จเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตนและครอบครัว แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่าที่ผ่านมา เบน สมิธ และครอบครัวตกเป็นเหยื่อของ “กระบวนการโจมตีทางการเมืองที่ใช้ข้อมูลบิดเบือน” เพื่อสร้างภาพว่าเขาเป็นอาชญากร ทั้งที่ข้อกล่าวหาต่างๆ “ไม่มีมูลความจริงหรือหลักฐานรองรับ” แต่อย่างใด  นอกจากนี้เขายังยืนยันว่าตนคือผู้เคารพกฎหมายทุกประเทศที่ไปพำนักหรือทำธุรกิจ และภูมิใจที่ได้อยู่อาศัยทำธุรกิจในไทยซึ่งโปร่งใสตรวจสอบได้ พร้อมเตือนว่าหากยังมีการคุกคามใส่ร้ายเขาและครอบครัวอีก จะสงวนสิทธิ์ในการฟ้องร้องดำเนินคดีจนถึงที่สุด

 

6 ตุลาคม 2568

ตัวแทนฝ่ายกฎหมายของ เบน สมิธ คือ นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ได้ยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายรังสิมันต์ โรม ต่อศาลอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท จากกรณีอภิปรายพาดพิงว่า เบน สมิธเป็น “สแกมเมอร์-แก๊งคอลเซ็นเตอร์-ทุนสีเทา” โดยศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาทั้งทางอาญาและแพ่ง (นัดไต่สวนมูลฟ้อง 24 พ.ย. 2568 และนัดพิจารณาคดีแพ่ง 15 ธ.ค. 2568)  การยื่นฟ้องครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า นายเบน สมิธเอาจริงในการปกป้องชื่อเสียง และยืนยันความบริสุทธิ์ของตนผ่านกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ ทนายความยังได้ชี้แจงเพิ่มเติมต่อสื่อว่ากรณีบุคคลที่นายรังสิมันต์อภิปรายกล่าวหานั้น “เป็นคนละคนกัน” กับเบน สมิธตัวจริง พร้อมย้ำว่า เบน สมิธไม่เคยต้องคดีหรือมีหมายจับใดๆ ในประเทศไทยทั้งสิ้น และข้อมูลที่นายรังสิมันต์พูดมีความคลาดเคลื่อนหลายประการ (รายละเอียดจะชี้แจงในส่วนของข้อโต้แย้งด้านล่าง)

 

ตลอดเดือนตุลาคม 2568

ร.อ.ธรรมนัส ในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานด้านความมั่นคงของมนุษย์ ได้มุ่งมั่นและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์อย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการปกป้องชื่อเสียงของตนเอง โดยท่านธรรมนัสเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ “เร่งปราบปรามแก๊งหลอกลวงออนไลน์ (สแกมเมอร์) อย่างจริงจัง” เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทำงาน เพราะรัฐบาลได้ประกาศเรื่องนี้เป็น วาระแห่งชาติ แล้ว  เป้าหมายคือไม่ให้คนไทยตกเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือของขบวนการเหล่านี้อีกต่อไป นอกจากนี้ ในที่ประชุมดังกล่าวท่านธรรมนัสยังย้ำด้วยว่า ไม่ควรนำประเด็นการเมืองมาแทรกแซงภารกิจการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เพราะจะบั่นทอนความสำเร็จในการแก้ปัญหา คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของท่านที่จะมุ่งเน้นทำงานแก้ปัญหาให้บ้านเมือง มากกว่าการตอบโต้เกมการเมืองใดๆ

 

30 ตุลาคม 2568

คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ ของสภาผู้แทนราษฎร (ซึ่งมีนายรังสิมันต์ โรม เป็นประธาน) ได้มีหนังสือเชิญ ร.อ.ธรรมนัส และบุคคลที่ถูกพาดพิงรายอื่นๆ เข้าชี้แจงต่อ กมธ. เกี่ยวกับกรณี “เบน สมิธ” และประเด็นแก๊งสแกมเมอร์ โดยการประชุมวันดังกล่าวถูกจับตามองอย่างมากเนื่องจากนายรังสิมันต์ประกาศว่าจะ “เอาให้ชัด” ในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ (รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งถูกเชิญด้วย) มิได้เข้าร่วมการประชุม ด้วยเหตุผลด้านภารกิจราชการและหลักการทางการเมืองบางประการ (ชี้แจงในส่วนถัดไป) การไม่เข้าร่วมนี้ทำให้นายรังสิมันต์ออกมาตั้งข้อสังเกตเชิงประชดว่า ประกาศปราบสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติ แต่คนในรัฐบาลกลับไม่มาชี้แจง ซึ่งพรรคกล้าธรรมขอยืนยันว่า การตัดสินใจไม่เข้าร่วมการชี้แจงในชั้น กมธ. ดังกล่าว มิได้เกิดจากความ “กลัว” ใดๆ ทั้งสิ้น หากแต่เป็นการตัดสินใจที่ทำโดยไตร่ตรองบนหลักการและข้อเท็จจริง และได้มีการประสานตอบคำถามต่อกรรมาธิการด้วยวิธีการอื่นอย่างครบถ้วนสุจริตแล้ว

จากลำดับเหตุการณ์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ต้นเรื่องในเดือนกันยายนจนถึงปลายตุลาคม 2568 กรณี “เบน สมิธ” ถูกนำมาใช้สร้างเรื่องโจมตีทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง พรรคกล้าธรรมขอตั้งข้อสังเกตว่า ข้อกล่าวหาหลายอย่างถูกนำเสนออย่างผิดบริบทบ้าง ไม่ครบถ้วนบ้าง ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจผิดในสังคม เราจึงขอชี้แจงตอบโต้ ทีละประเด็น ดังต่อไปนี้

 

การตอบโต้และชี้แจงประเด็นข้อกล่าวหาสำคัญ

1. ร.อ.ธรรมนัสยืนยันไม่มีเอี่ยวธุรกิจผิดกฎหมายหรือแก๊งสแกมเมอร์ใดๆ – พรรคกล้าธรรมขอย้ำอย่างหนักแน่นว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ไม่เคยมีส่วนร่วม หรือมีผลประโยชน์ใดๆ เกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวง (สแกมเมอร์) หรือธุรกิจสีเทาผิดกฎหมายทั้งสิ้น การกล่าวอ้างของบางฝ่ายว่า “รู้จัก” หรือ “ใกล้ชิด” กับบุคคลหนึ่ง (เช่น เบน สมิธ) มิได้หมายความว่าจะต้องกระทำผิดร่วมกันหรืออยู่ขบวนการเดียวกัน ความผิดฐานคบคิดใดๆ ต้องพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐาน ไม่ใช่การเหมารวมด้วยความเชื่อส่วนตัว

ในความเป็นจริง ร.อ.ธรรมนัสรู้จักกับนายเบน สมิธ ในฐานะนักธุรกิจต่างชาติคนหนึ่ง ที่เคยมีบทบาททางธุรกิจในภูมิภาคนี้ ทั้งสองรู้จักผ่านการแนะนำของบุคคลที่สาม  และรู้จักกันมาเพียงไม่นาน โดยไม่มีการทำธุรกิจร่วมกันแต่อย่างใด การรู้จักกันของบุคคลทั้งสองไม่มีองค์ประกอบใดบ่งชี้ถึงการกระทำผิดกฎหมาย ดังที่นายธนดล ทนายความของเบน สมิธ ระบุชัดเจนว่า “นายเบนเคยลงทุนธุรกิจกับนักธุรกิจคนอื่น แต่ไม่เคยทำธุรกิจกับ ร.อ.ธรรมนัส” และที่รู้จักกันก็เพียงช่วงหลังๆ นี้เท่านั้น  จึงขอปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งมวลที่พยายามโยง ร.อ.ธรรมนัส เข้ากับขบวนการสแกมเมอร์ว่าไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อย

2. ข้อมูลเท็จและการบิดเบือน: กรณีสับสนตัวตน “Ben Smith” – ในการอภิปรายของนายรังสิมันต์ มีการนำข้อมูลบางส่วนมาเสนออย่างคลาดเคลื่อน จนทำให้สังคมเข้าใจผิดว่า นายเบน สมิธ คือหัวหน้าขบวนการต้มตุ๋นและฟอกเงิน รายสำคัญคนหนึ่ง พรรคกล้าธรรมขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้

กรณี Tian Tian Ventures: นายรังสิมันต์กล่าวอ้างว่า เบน สมิธ เกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงประชาชนและการเสนอขายหลักทรัพย์ของบริษัท Tian Tian Ventures (เทียนเทียน เวนเจอร์ส) ที่ถูก ก.ล.ต. ดำเนินคดีในปี 2564 แต่ ข้อเท็จจริงคือบุคคลที่ถูกกล่าวโทษในคดีนั้นไม่ใช่เบน สมิธตัวจริง! จากการตรวจสอบของตำรวจกองปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ พบว่าคดีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับชาวอเมริกันชื่อ นายลอว์เรนซ์ อีวาน เฟลด์แมน อายุ 36 ปี ซึ่งใช้ชื่อปลอมว่า “เบนจามิน เบอร์เจอร์” ในการหลอกขายหุ้นให้เหยื่อกว่า 300 คน ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง กล่าวง่ายๆ คือมี “นักแสดง” คนหนึ่งปลอมตัวขึ้นเวทีใช้ชื่อคล้ายเบน สมิธ จนทำให้เกิดความสับสนในภายหลังว่าเบน สมิธเข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งที่จริงๆ แล้ว เบน สมิธ (เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์) ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นใดๆ กับขบวนการหลอกลวงเทียนเทียนดังกล่าวเลย

ตำรวจได้ตรวจสอบเทียบข้อมูลหนังสือเดินทางและภาพถ่ายคนที่อ้างตัวเป็น “เบนจามิน เบอร์เจอร์” บนเวทีวันเกิดเหตุ พบว่าบุคคลนั้นมีตัวตนจริงคือ นายลอว์เรนซ์ อี. เฟลด์แมน โดยมีหลักฐานการเดินทางเข้าไทยตรงกับวันงาน และสุดท้ายตำรวจก็ได้ออกหมายจับนายลอว์เรนซ์รายนี้ในข้อหาฉ้อโกงประชาชนไปแล้ว สรุปคือคดีเทียนเทียนฯ เป็นคนละเรื่องคนละคนกับเบน สมิธโดยสิ้นเชิง การที่ในการอภิปรายมีการหยิบยกกรณีนี้มาโยงว่าคือฝีมือเบน สมิธ จึงเป็นการใช้ข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนอย่างร้ายแรง ซึ่ง นายรังสิมันต์ โรมไม่ได้ตรวจสอบความจริงให้รอบคอบก่อนกล่าวหา (แม้แต่นายทอม ไรท์ นักข่าวต่างชาติที่นายรังสิมันต์อ้างอิงข้อมูล ก็ยังออกมายอมรับในบทความของเขาเองภายหลังว่า คนที่ขึ้นเวทีเทียนเทียนใช้ชื่อปลอมและเป็นแค่นักแสดงคนหนึ่ง) นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าข้อมูลของผู้อภิปรายไม่ครบถ้วนและบิดเบือนความจริง จนก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อบุคคลบริสุทธิ์

ไม่มีหลักฐานฟอกเงินหรือคดีอาชญากรรมในไทย: หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องของไทยได้ตรวจสอบชื่อของ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (เบน สมิธ) แล้ว ไม่พบประวัติว่าเขากระทำผิดหรือฟอกเงินในประเทศไทยแต่อย่างใด – โดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้มีหนังสือตอบกลับอย่างเป็นทางการ (ลงวันที่ 13 ต.ค. 2568) ยืนยันว่า ไม่พบข้อมูลการฟอกเงินในชื่อของนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ตามที่มีผู้สอบถามมา นอกจากนี้ชื่อของเขาก็ไม่ปรากฏใน หมายแดง หรือ หมายจับ ใดๆ ของตำรวจสากลหรือของไทยเลย ตามที่ทนายความได้ตรวจสอบยืนยันไว้  การกล่าวหาว่าเบน สมิธเป็น “เจ้าพ่อฟอกเงิน” จึงไร้ข้อเท็จจริงรองรับโดยสิ้นเชิง มีเพียงความเชื่อมโยงทางเครือข่ายธุรกิจบางอย่างที่ถูกนำมา ตีความแบบเหมารวม ว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทั้งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้

บทบาทของ “เบน สมิธ” ที่ถูกใส่ความเกินจริง: จากข้อมูลที่ตรวจสอบได้ นายเบน สมิธ เป็นพลเมืองแอฟริกาใต้ที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียน เขาเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา (สมัยสมเด็จฮุน เซน) เพื่อเชื่อมโยงการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ มีความสนิทสนมกับผู้นำและนักธุรกิจระดับสูงในภูมิภาค (รวมถึงเคยพบปะกับนักการเมืองไทยบางคน) การที่เขา “รู้จัก” กับคนสำคัญหลายฝ่ายนั้นถูกนำมา ตีความในทางลบเกินจริง ราวกับว่าเขาเป็น “มาเฟียข้ามชาติ” ทั้งที่ในความเป็นจริง บทบาทหลายอย่างของเขาอยู่ในกรอบกิจกรรมทางธุรกิจที่เปิดเผย ตรวจสอบได้ เช่น เป็นนายหน้าด้านการซื้อขายเรือและเครื่องบิน เริ่มธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนหุ้น ฯลฯ ซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายใดๆ ในไทยเลย

กรณีที่นายรังสิมันต์กล่าวหาว่าเบน สมิธ พยายามวิ่งเต้นขอสัญชาติไทยเพื่อปักหลักในประเทศ ก็เป็นอีกเรื่องที่ถูกใส่สีตีไข่ให้ดูน่าสงสัยเกินจริง ความจริงคือ นายเบน สมิธได้ยื่นเรื่องขอสัญชาติไทยในชื่อไทยว่า “สาธิต” ตามช่องทางกฎหมายปกติ ซึ่งทางกระทรวงมหาดไทย (ขณะนั้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็น รมว.) ไม่ได้อนุมัติคำขอของเขาเนื่องจากเอกสารไม่ครบถ้วน กระบวนการนี้โปร่งใสตรงไปตรงมา มิใช่การให้สัญชาติโดยมิชอบหรือมีใครใช้เส้นสายช่วยเหลือดังที่มีการกล่าวหาเป็นนัยแต่อย่างใด

3. การฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อปกป้องชื่อเสียง – พรรคกล้าธรรมสนับสนุนการใช้ กระบวนการทางกฎหมาย อย่างถึงที่สุดในการพิสูจน์ความจริงต่อข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จ เราขอยืนยันว่า การดำเนินคดีหมิ่นประมาทไม่ใช่ “การฟ้องปิดปาก” หากแต่เป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายนำหลักฐานมายืนยันในศาล หากมีข้อเท็จจริงจริงก็จะได้พิสูจน์ แต่หากไม่มีข้อเท็จจริงก็จะได้เป็นบรรทัดฐานยับยั้งการเผยแพร่ข้อมูลเท็จต่อไป

กรณีนี้เช่นเดียวกัน ร.อ.ธรรมนัสมีสิทธิ์ทุกประการที่จะดำเนินคดีเพื่อปกป้องเกียรติยศชื่อเสียง หลังถูกพาดพิงด้วยข้อมูลที่บิดเบือนอย่างร้ายแรง แม้ท่านจะยังไม่ทันได้ฟ้องร้องด้วยตนเอง แต่นายเบน สมิธก็ได้มอบหมายทนายความฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาทต่อผู้อภิปรายไปแล้ว  ซึ่งเรื่องนี้มิใช่การข่มขู่คุกคามเสรีภาพในการตรวจสอบ แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าผู้ถูกกล่าวหาก็ต้องปกป้องสิทธิ์ของตนเองเช่นกัน กระบวนการยุติธรรมจะทำให้ทุกฝ่ายได้ตรวจสอบกันบนข้อเท็จจริง ไม่ใช่ปล่อยให้มีการกล่าวหาอย่างเลื่อนลอยผ่านสื่อหรือเวทีสาธารณะ อยู่ฝ่ายเดียว

อนึ่ง นายรังสิมันต์ได้ปรากฏเป็นข่าวว่าถูกฟ้องร้องดำเนินคดีโดยผู้เสียหายหลายรายในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งท่านได้พยายามอ้างว่าการฟ้องเหล่านั้นเป็นการพยายาม “ปิดปาก” ตนเองทางการเมือง พรรคกล้าธรรมอยากให้มองอีกมุมว่า หากข้อมูลที่ท่านนำมาเปิดเผยนั้นเป็นจริงและมีหลักฐานแน่นหนา ท่านก็ควรยินดีต่อการได้ไปพิสูจน์ในชั้นศาล เพราะนั่นคือเวทีที่ความจริงจะปรากฏ และหากท่านบริสุทธิ์ใจก็ไม่ควรเกรงกลัวการพิสูจน์ดังกล่าว (เช่นเดียวกับที่ทนายความของเบน สมิธได้ท้าไว้ว่า หากนายรังสิมันต์อภิปรายเรื่องจริงก็จงไปฟ้องร้องดำเนินคดีผู้กระทำผิดตัวจริง อย่ามัวแต่ปราศรัยในสภา ) แต่การที่นายรังสิมันต์ออกมาโจมตีว่าเป็น “คดีปิดปาก” นั้น อาจทำให้ประชาชนตั้งคำถามเช่นกันว่าท่านขาดความเชื่อมั่นในพยานหลักฐานของตัวเองหรือไม่

4. การไม่เข้าร่วมประชุม กมธ.ความมั่นคงฯ 30 ต.ค. 2568: สำหรับประเด็นที่นายรังสิมันต์และบางสื่อวิจารณ์ว่า ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมล “เบี้ยว” ไม่มาชี้แจง ต่อกรรมาธิการ เป็นเพราะมีอะไรให้ต้องปกปิดหรือหวาดกลัวนั้น พรรคขอชี้แจงเหตุผลดังนี้

ภารกิจทับซ้อนและความเหมาะสมทางหลักการ: วันที่ 30 ต.ค. ซึ่ งตรงกับวันประชุมกรรมาธิการนั้น ร.อ.ธรรมนัสติดภารกิจสําคัญทางราชการที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และได้แจ้งต่อที่ประชุมไปตามขั้นตอนแล้ว นอกจากนี้ ในเชิงหลักการ ท่านธรรมนัสเห็นว่า การ เชิญรัฐมนตรีไปตอบคําถามในชั้นกรรมาธิการ ควรกระทําบนพื้นฐานข้อมูลที่รอบด้านและ บรรยากาศที่ปราศจากอคติ “ แต่กรณีนี้ ผู้นำการอภิปราย (นายรังสิมันต์) ได้แสดงท่าทีล่วงหน้าอย่างแข็งกร้าว และมีธงทางการเมืองชัดเจน จนอาจทำให้เวทีกรรมาธิการถูกมองว่า “ขาดความเป็นกลาง” และอาจกลายเป็นเวทีตัดสินทางการเมืองก่อนกระบวนการยุติธรรม มากกว่าจะเป็นเวทีแสวงหาความจริงอย่างเปิดกว้าง

หลีกเลี่ยงการ “ปิงปองการเมือง” ที่ไม่เกิดประโยชน์: ร.อ.ธรรมนัสระบุว่าท่าน “มีสถานะและตำแหน่งในรัฐบาล จึงไม่อยากปิงปองตอบโต้ไปมากับประเด็นไร้สาระ”  การเลือกไม่ปรากฏตัวต่อกรรมาธิการที่มีท่าทีลุแก่อำนาจเช่นนั้น เป็นการแสดงออกถึงความต้องการ “ลดความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่จำเป็น” และมุ่งเน้นทำงานในส่วนของตนเองมากกว่า ท่านธรรมนัสเห็นว่าหากกรรมาธิการหรือฝ่ายค้านมีหลักฐานใดๆ จริง ก็ควรส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายจะเกิดประโยชน์กว่า เพราะรัฐบาลเองก็พร้อมร่วมมือปราบคนผิดอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาชี้แจงโต้เถียงบนเวทีที่อีกฝ่ายหนึ่งพยายามใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

ได้ชี้แจงผ่านช่องทางอื่นแล้ว: แม้จะไม่ได้ไปปรากฏตัวที่ประชุม กมธ. ด้วยตนเอง แต่นั่นไม่ใช่การ “หนี” การตรวจสอบแต่อย่างใด เนื่องจากประเด็นต่างๆ ที่มีการตั้งคำถาม นายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ในฐานะประธานกรรมการปราบปรามสแกมเมอร์ ก็ได้รับทราบและจะนำไปดำเนินการต่ออยู่แล้ว อีกทั้งในส่วนของพรรคกล้าธรรม บุคคลที่ถูกพาดพิงในเรื่องนี้ เช่น กรณี “นักการเมืองอักษรย่อ ช.” ก็ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงทันที นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว ส.ส.สงขลา พรรคกล้าธรรม ซึ่งถูกบางฝ่ายสงสัยว่าอาจพัวพันขบวนการสแกมเมอร์ ได้ยืนยันชัดเจนว่า ตนไม่ใช่นักการเมืองที่ทำสแกมเมอร์ บัญชีต้องสงสัยที่ถูกพูดถึงนั้นเป็นชื่อบัญชีของบิดามารดาตนเอง และไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกรรมผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ข้อมูลส่วนนี้ ร.อ.ธรรมนัส ก็ได้เรียกนายชนนพัฒฐ์เข้าชี้แจงเป็นการภายในจนเข้าใจทุกประเด็นแล้ว จากนั้นจึงแนะนำให้เจ้าตัวไปชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนผ่านสื่อ ซึ่งนายชนนพัฒฐ์ก็ได้ดำเนินการทันที ทำให้สังคมได้รับทราบข้อเท็จจริงโดยทั่วถึง

จากเหตุผลข้างต้น ขอยืนยันว่าการไม่เข้าร่วมกรรมาธิการฯ ของ ร.อ.ธรรมนัส มิได้เกิดจากความพยายามหลบเลี่ยงการตรวจสอบใดๆ แต่เป็นการตัดสินใจบนหลักการ ท่านพร้อมเสมอที่จะให้ข้อมูลต่อหน่วยงานที่ตรวจสอบอย่างเป็นธรรมและปราศจากอคติ แต่มิปรารถนาให้มีการใช้เวทีรัฐสภาไปในทางที่เป็นเครื่องมือบิดเบือนโจมตีกันทางการเมือง
 

การปกป้องความจริงและจุดยืนของพรรคกล้าธรรมต่อกรณีนี้

เมื่อข้อกล่าวหามาก่อนข้อเท็จจริง… แล้วใครจะปกป้องความเป็นธรรม? คำถามนี้ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม ได้ฝากไว้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือ การอภิปรายและให้สัมภาษณ์ของนักการเมืองบางกลุ่ม ที่พยายามโยงชื่อบุคคลและพรรคการเมืองต่าง ๆ เข้ากับเรื่องราวที่ยังไม่มีข้อเท็จจริงหรือหลักฐานทางกฎหมายรองรับ สิ่งที่ทำอยู่นั้นหาใช่การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตหรือการติชมโดยเป็นธรรมไม่ แต่คือ “การใส่ความ” ที่ทำให้สมาชิกและพรรคการเมืองเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังโดยไม่เป็นธรรม

ปัจจุบันนี้เราพบว่า ข้อกล่าวหาต่าง ๆ ถูกบางฝ่ายขยายซ้ำในสังคมจนกลายเป็นความเชื่อ ทั้งที่ยังไม่มีคำพิพากษาหรือหลักฐานยืนยันจากหน่วยงานรัฐไทยเลย พรรคกล้าธรรมขอย้ำว่า การตรวจสอบทางการเมืองที่ดีและถูกต้องไม่ใช่การชี้นิ้วกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน หากแต่ต้องยืนหยัดบนข้อเท็จจริงและเคารพกระบวนการยุติธรรม เราไม่มีใครควรถูกตัดสินจาก “ความเชื่อ” ของสังคม ไม่มีพรรคไหนควรถูกตราหน้าว่าเลวเพียงเพราะผู้กล่าวหามีภาพลักษณ์ดีมีเครดิตทางสังคม และไม่มีนักการเมืองคนใดสมควรถูกทำลายด้วยข่าวลือที่ปราศจากหลักฐาน! อย่าลืมว่า “ข้อกล่าวหา” ไม่ใช่ “คำพิพากษา” จนกว่าจะได้พิสูจน์ภายใต้กระบวนการยุติธรรม คำพิพากษาที่แท้จริงต้องเกิดจาก ข้อเท็จจริง ไม่ใช่การชี้นำด้วยอคติ และ ความเกลียดชัง ไม่ควรถูกทำให้อยู่เหนือ ความจริง

พรรคกล้าธรรมเป็นองค์กรการเมืองที่ยืนหยัดบนความสุจริตและยึดมั่นในความจริง เราจะไม่อาจนิ่งเฉยได้เมื่อชื่อเสียงของพรรคและบุคลากรถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างไม่เป็นธรรม เราจึงได้จัดตั้ง “วอร์รูม” ขึ้นมาตรวจสอบทุกข้อกล่าวหาที่พาดพิงถึงพรรค ทำการรวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่าย ค้นหาความจริงจากหลักฐานที่มีอย่างรอบด้าน และวันนี้เราก็ได้นำข้อเท็จจริงทั้งหมดมาชี้แจงต่อพี่น้องประชาชนตามที่ท่านได้อ่านข้างต้นแล้ว

เราขอยืนยันว่าจะยังคงทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนด้วยความสุจริต โปร่งใส “กล้าชน กล้าทำ และกล้ายืนหยัดบนหลักการ”ตามอุดมการณ์ของพรรค  ส่วนผู้ที่พยายามใช้ “ความเชื่อ” นำหน้า “ความจริง” หรือบิดเบือนข้อมูลเพื่อหวังผลทำลายล้างทางการเมืองนั้น เราเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่จะมองเห็นและแยกแยะได้ในที่สุด

 

แนวนโยบายแก้ไขปัญหาแก๊งสแกมเมอร์อย่างเป็นระบบ

พรรคกล้าธรรมไม่เพียงแต่ปกป้องผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ร้าย เรายังคงมุ่งมั่นเสนอแนวทาง แก้ไขปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ (ขบวนการหลอกลวงออนไลน์) อย่างเป็นระบบและจริงจัง ดังนี้

ผลักดันวาระแห่งชาติปราบปรามสแกมเมอร์: เราสนับสนุนเต็มที่ที่รัฐบาลได้ประกาศการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมออนไลน์เป็น วาระแห่งชาติ พรรคกล้าธรรมจะผลักดันให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการระหว่างทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ตำรวจ, กระทรวงดิจิทัลฯ, สถาบันการเงิน, หน่วยข่าวกรอง ไปจนถึงการทูต เพราะแก๊งสแกมเมอร์มีลักษณะเป็น อาชญากรรมข้ามชาติ ที่ต้องการความร่วมมือระดับชาติและนานาชาติในการปราบปราม

ความร่วมมือกับต่างประเทศและอาเซียน: พรรคจะเสนอให้รัฐบาลไทยยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกัมพูชาและเมียนมา ซึ่งพบว่าเป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งสแกมเมอร์หลายกลุ่ม เราควรใช้กลไกความร่วมมือด้านความมั่นคงในกรอบอาเซียนอย่างเต็มที่ (เช่น ASEANAPOL หรือความร่วมมือตาม ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยอาชญากรรมข้ามชาติ) เพื่อร่วมกันทลายเครือข่ายสแกมเมอร์ ตั้งแต่ตัวการใหญ่ข้ามชาติไปจนถึงเครือข่ายบัญชีม้าและโครงข่ายการเงินที่โยงใยระหว่างกันข้ามพรมแดน

แก้ช่องโหว่ทางการเงินและฟอกเงิน: เราจะผลักดันมาตรการเข้มงวดในการตรวจสอบธุรกรรมการเงินที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงออนไลน์ ปิดช่องโหว่การฟอกเงิน ที่แก๊งสแกมเมอร์ใช้ ด้วยการเสริมศักยภาพให้ ปปง. และหน่วยงานกำกับสถาบันการเงินสามารถตรวจจับเส้นทางการเงินต้องสงสัยได้รวดเร็วขึ้น (กรณีของเบน สมิธที่ ปปง.ตรวจสอบแล้วไม่พบความผิดใดๆ ก็เป็นตัวอย่างของการทำงานเชิงรุกที่เราสนับสนุน ) นอกจากนี้จะร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการออกกฎเกณฑ์คุมเข้มบัญชีต้องสงสัย, บัญชีม้า และธุรกรรมข้ามประเทศที่อาจเกี่ยวโยงขบวนการสแกม

ใช้เทคโนโลยีและบิ๊กดาต้าปราบอาชญากรรมไซเบอร์: พรรคกล้าธรรมมีนโยบายส่งเสริมการนำ เทคโนโลยีขั้นสูง มาใช้ในการสืบสวนติดตามแก๊งหลอกลวงออนไลน์ เช่น การวิเคราะห์บิ๊กดาต้าเพื่อตรวจหาแพทเทิร์นของบัญชีต้องสงสัย, การใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยกรองข้อความและเบอร์โทรสแปมที่หลอกลวงประชาชน ตลอดจนการพัฒนาระบบเตือนภัยออนไลน์ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ว่าข้อเสนอการลงทุนหรือแหล่งเงินใดเข้าข่ายหลอกลวงหรือไม่

รณรงค์ให้ความรู้ประชาชนและช่วยเหลือเหยื่อ: เราเชื่อว่าการป้องกันที่ดีที่สุดคือการทำให้ประชาชน “รู้เท่าทัน” แก๊งต้มตุ๋นเหล่านี้ พรรคจะผลักดันโครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับรูปแบบกลโกงใหม่ๆ ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (เช่น หลอกให้รักออนไลน์, หลอกลงทุนคริปโตเก๊, แก๊งปลอมเป็นตำรวจ/จนท.รัฐ เป็นต้น) ให้ประชาชนเกิดภูมิคุ้มกัน ไม่ตกเป็นเหยื่อได้ง่าย อีกทั้งจะประสานงานจัดตั้ง “ศูนย์ช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์”เพื่อให้คำปรึกษาทางกฎหมายและเยียวยาผู้เสียหายที่สูญเสียทรัพย์สินหรือได้รับผลกระทบทางจิตใจจากแก๊งสแกมเมอร์ด้วย

ดำเนินคดีอย่างเสมอภาค ไม่ละเว้นผู้มีอิทธิพล: พรรคกล้าธรรมขอย้ำว่าการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ จะต้องไม่มีสองมาตรฐาน ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้มีอิทธิพล “คนเล็กคนน้อย” หรือ “คนใหญ่คนโต” ทุกคนต้องถูกดำเนินคดีอย่างเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย เราจะติดตามให้รัฐบาลเร่งรัดจับกุมผู้บงการตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง เครือข่ายนายทุนที่สนับสนุน และเจ้าหน้าที่รัฐที่อาจเกี่ยวข้อง (ถ้ามี) มาลงโทษตามกฎหมายโดยเร็ว ไม่ใช่จับแต่ลูกน้องปลายแถวแล้วปล่อยผู้มีเส้นสายลอยนวล ดังที่สังคมเคยวิตกกังวล

ไม่ใช้การเมืองมาขวางงานปราบปราม: เราขอให้คำมั่นว่า พรรคกล้าธรรมจะไม่ปล่อยให้ความขัดแย้งทางการเมืองหรือเกมการเมืองใด ๆ เข้ามาแทรกแซงขัดขวางภารกิจการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ตามที่ ร.อ.ธรรมนัสได้ย้ำไว้ว่า การแก้อาชญากรรมข้ามชาติเป็นเรื่องความปลอดภัยของประเทศ ไม่ควรถูกบิดเบือนด้วยวาระทางการเมืองแคบ ๆ ดังนั้นเราจะร่วมมือกับทุกฝ่ายอย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ฝ่ายค้าน ภาคเอกชน หรือภาคประชาสังคม เพื่อทำให้ประเทศไทยปลอดภัยจากภัยสแกมเมอร์อย่างแท้จริง

บทสรุป  พรรคกล้าธรรมหวังว่าการชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดข้างต้น จะช่วยคลี่คลายข้อกล่าวหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมต่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และพรรคกล้าธรรม เราขอยืนยันในความบริสุทธิ์และความโปร่งใสของเรา และจะเดินหน้าพิสูจน์ความจริงต่อไปทั้งในเวทีสาธารณะและในชั้นศาล “ความจริงก็คือความจริง” แม้จะมีความพยายามบิดเบือนมากเพียงใด สุดท้ายแล้วข้อเท็จจริงจะต้องปรากฏต่อสายตาประชาชน

พรรคกล้าธรรมขอขอบคุณประชาชนที่ยังคงมีวิจารณญาณและเชื่อมั่นในความตั้งใจดีของพวกเรา เราจะมุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชนอย่างเต็มกำลัง และยืนหยัดต่อสู้กับทุกขบวนการอาชญากรรมที่บ่อนทำลายสังคมไทย โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคหรือการโจมตีทางการเมืองใดๆ

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related