svasdssvasds

Gen Z อยากเกษียณเร็วที่อายุ 50 แต่ความจริงอาจต้องทำงานถึง 70 ปี

Gen Z อยากเกษียณเร็วที่อายุ 50 แต่ความจริงอาจต้องทำงานถึง 70 ปี

Gen Z วางแผนเกษียณในวัย 50 ปลาย ๆ แต่เศรษฐกิจจริงทำให้ต้องทำงานยาวถึง 67 ปี ช่องว่างระหว่างความหวังกับความพร้อมทางการเงินที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ

SHORT CUT

  • Gen Z อยากเกษียณเร็วกว่าเจเนอเรชันอื่น แต่รู้ว่าความจริงอาจทำไม่ได้ แม้จะหวังเกษียณที่อายุ 59 ปี แต่คาดว่าต้องทำงานถึงราว 67 ปี เพราะปัจจัยเศรษฐกิจและความพร้อมทางการเงินไม่พอ
  • ค่าครองชีพสูง–การออมต่ำ ทำให้การเกษียณเร็วแทบเป็นไปไม่ได้ เงินเฟ้อ ราคาบ้าน–อาหารพุ่ง และคนจำนวนมากไม่ได้ออมเงินเกษียณหรือไม่มีแผนเกษียณ ส่งผลให้หลายคนต้องทำงานนานกว่าเดิม
  • ตัวอย่างเช่น Warren Buffett และ Rupert Murdoch ที่ทำงานจนวัยกว่า 90 แสดงให้เห็นว่า สำหรับบางคน การทำงานยาวเป็นเรื่องปกติและเติมเต็มชีวิตมากกว่าการเกษียณเร็ว.

Gen Z วางแผนเกษียณในวัย 50 ปลาย ๆ แต่เศรษฐกิจจริงทำให้ต้องทำงานยาวถึง 67 ปี ช่องว่างระหว่างความหวังกับความพร้อมทางการเงินที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ

แม้แรงงานส่วนใหญ่จะมองว่า “การเกษียณ” คือปลายทางอันผ่อนคลายหลังทำงานหนักหลายสิบปี แต่ความจริงสำหรับคนรุ่นใหม่อาจซับซ้อนกว่านั้นมาก ยิ่งเมื่อเศรษฐกิจโลกเผชิญกับเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่พุ่งไม่หยุด และภาระทางการเงินที่มากขึ้น ความหวังที่จะเกษียณเร็วเหมือนในฝันอาจเป็นสิ่งที่ยิ่งไกลออกไปทุกที

ปัจจุบันอายุเกษียณเฉลี่ยของชาวอเมริกันอยู่ที่ประมาณ 65 ปีสำหรับผู้ชาย และ 63 ปีสำหรับผู้หญิง แต่รายงานล่าสุดของ Manulife John Hancock หน่วยงานธุรกิจเกษียณในอเมริกา กลับพบว่า Gen Z ตั้งใจอยากเกษียณเร็วกว่านั้นมาก พวกเขามองว่าในช่วงอายุ 50 ปี คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการวางมือจากการทำงาน ต่างจากรุ่นพี่อย่าง Millennials ที่มองอายุ 60 ปีเ ขณะที่ Gen X เลือก 64 ปี และ Baby Boomers เลือก 67 ปี

ความจริงอาจต้องทำงานจนเกือบ 70 ปี 

อย่างไรก็ตาม ความหวังกับความจริงกลับไม่ตรงกันนัก เพราะเมื่อถามถึงอายุเกษียณ “จริง ๆ” ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น Gen Z ยอมรับว่าตัวเองอาจต้องทำงานยาวไปถึงอายุ 67 ปี ส่วนรุ่นอื่น ๆ คาดว่าจะต้องทำงานถึง 69 ปี นี่สะท้อนช่องว่างที่ชัดเจนระหว่างความปรารถนากับความพร้อมด้านการเงิน ซึ่งเป็นปัญหาที่คนทำงานทุกเจเนอเรชันกำลังเผชิญร่วมกัน

ปัจจัยสำคัญคือพฤติกรรมการออมที่ยังไม่เพียงพอ รายงานของ TIAA ระบุว่าคนอเมริกันเกือบสองในสามมองว่าการเกษียณในช่วง 65–70 ปีเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้จริง หลายคนยังไม่มีเงินออมหรือเก็บไม่พอสำหรับอนาคต ขณะที่เศรษฐกิจในปัจจุบันก็ยิ่งซ้ำเติม ราคาบ้านเพิ่มขึ้นถึง 50% ตั้งแต่ปี 2020 ค่าอาหารมีแนวโน้มจะเพิ่ม 50%–100% และค่าจ้างก็ยังไล่ตามเงินเฟ้อไม่ทัน แม้กระทั่งผู้มีรายได้ระดับหกร้อยหลักต่อปีก็ยังต้องรัดเข็มขัดเพื่อให้พอใช้จ่าย 

ผู้ที่ใกล้ถึงวัยเกษียณก็เจออุปสรรคไม่น้อย โดยเฉพาะการขอรับสวัสดิการประกันสังคมก่อนกำหนด หากเลือกเกษียณที่อายุ 62 ปี จะทำให้รายได้ประกันสังคมลดลงถึง 30% เมื่อเทียบกับการรอรับเต็มอัตราในอายุเกณฑ์ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกัน รายงานของ TD Bank ยังพบว่าครึ่งหนึ่งของคนอเมริกันไม่มีส่วนร่วมในแผนการออมเพื่อเกษียณที่บริษัทจัดให้ ทำให้พวกเขาหลุดจากเส้นทางการออมไปเรื่อย ๆ

ทั้งหมดนี้สะท้อนภาพที่ชัดเจนว่า แม้คนรุ่นใหม่จะใฝ่ฝันถึงอายุเกษียณที่เร็วขึ้น แต่สภาพเศรษฐกิจและความพร้อมด้านการเงินอาจผลักให้ต้องทำงานยาวกว่าที่คิด การเตรียมตัวตั้งแต่อายุยังน้อย การวางแผนการเงินอย่างมีวินัย และการปรับตัวต่อโลกที่เปลี่ยนไป จึงเป็นสิ่งจำเป็นหากต้องการให้ “การเกษียณในอุดมคติ” เข้าใกล้ความจริงมากที่สุด เพราะท้ายที่สุด ช่วงวัยปลายทางของชีวิตจะมีคุณภาพแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการวางแผนทางการเงินของเราในวันนี้เอง

ที่มา: fortune

related