
SHORT CUT
โลกออนไลน์ไม่ใช่พื้นที่เล่นสนุกในวิกฤต เปิดคู่มือสร้างคอนเทนต์น้ำท่วมที่รับผิดชอบต่อผู้ประสบภัย อย่าให้โซเชียลเพิ่มความเดือดร้อน
เมื่อเกิดน้ำท่วมหรืออุทกภัย การสื่อสารในโลกออนไลน์กลายเป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้การลงพื้นที่ช่วยเหลือจริง เพราะผู้ประสบภัยต้องการข้อมูลที่รวดเร็ว ถูกต้อง
คอนเทนต์ที่ถูกเผยแพร่อาจช่วยให้ใครสักคนหาทางออกได้ทันเวลา หรือในทางตรงกันข้าม อาจทำให้สังคมเข้าใจผิดและส่งผลกระทบต่อการช่วยเหลืออย่างรุนแรง สิ่งที่คนทำคอนเทนต์ต้องคำนึงถึงจึงไม่ใช่แค่ยอดไลก์ แต่คือความรับผิดชอบต่อชีวิตของผู้ที่กำลังเดือดร้อน
สิ่งสำคัญที่สุดในช่วงวิกฤตคือการให้ข้อมูลที่จำเป็นและตรวจสอบได้ เช่น เส้นทางปลอดภัย จุดอพยพ ศูนย์พักพิง จุดรับบริจาค และเบอร์ติดต่อฉุกเฉิน คอนเทนต์ที่สรุปข้อมูลจากหน่วยงานรัฐหรือองค์กรกู้ภัยให้อ่านง่าย เช่น อินโฟกราฟิกหรือโพสต์สั้นๆ ช่วยลดความสับสนและทำให้ประชาชนตัดสินใจได้รวดเร็ว นอกจากนี้ การเล่าเรื่องน้ำใจในชุมชน เช่น ทีมอาสาที่ใช้เรือส่วนตัวช่วยขนของ หรือธุรกิจที่เปิดพื้นที่ให้พักพิง ยังช่วยสร้างขวัญกำลังใจในช่วงที่ผู้คนรู้สึกอ่อนล้า
คอนเทนต์ด้านสุขภาพกายและใจจึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน น้ำท่วมมักทำให้เกิดโรคจากน้ำเสีย ความอ่อนเพลีย และความเครียดสะสม การแนะนำวิธีป้องกันบาดแผล ดื่มน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงการลุยน้ำ หรือการขอความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิต สามารถช่วยให้ผู้ประสบภัยรับมือได้ดีขึ้น หน่วยงานด้านสาธารณสุขในไทยมักเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้อยู่แล้ว การช่วยกระจายให้ไปถึงคนที่ต้องการย่อมเป็นประโยชน์มากกว่าการแชร์ภาพความเสียหายซ้ำๆ ที่ทำให้ผู้คนยิ่งรู้สึกหมดหวัง
คอนเทนต์ที่สร้างผลเสียมากที่สุดคือภาพและข้อมูลปลอม เช่น ภาพน้ำท่วมที่ถูกสร้างด้วย AI หรือภาพเหตุการณ์เก่าที่ถูกแชร์ใหม่จนทำให้ประชาชนเข้าใจผิด
บางครั้งทีมกู้ภัยต้องเสียเวลาไปยังพื้นที่ที่ไม่มีเหตุการณ์จริงเพราะเชื่อภาพในโซเชียล ทำให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริงถูกเลื่อนออกไป และยังบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อประกาศทางการ สิ่งสำคัญคือหยุดก่อนแชร์ ตรวจสอบแหล่งที่มา และคิดเสมอว่า “ข้อมูลนี้ช่วยหรือทำให้แย่ลง”
อีกพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงคือการทำคอนเทนต์จัดฉากเพื่อเรียกยอดไลก์ เช่น แกล้งทำเป็นช่วยเหลือเฉพาะช่วงถ่ายคลิป การตั้งใจเข้าไปยืนหรือเดินในพื้นที่ทำงานของเจ้าหน้าที่กู้ภัย เพื่อให้ตัวเองติดในภาพหรือวิดีโอ แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรจริง
เช่นเดียวกับคอนเทนต์เชิงไสยศาสตร์หรือพิธีกรรมที่อ้างว่าสามารถหยุดน้ำท่วมได้ ซึ่งอาจทำให้คนไขว้เขวจากการรับมือที่ถูกต้อง รวมถึงคอนเทนต์ที่ฉวยโอกาสทางการตลาด เช่น โฆษณาที่ใช้ภาพผู้ประสบภัยขายสินค้า หรือทำแคมเปญบนความเดือดร้อนของผู้อื่น ซึ่งไม่เพียงขาดความเหมาะสม แต่ยังสร้างความรู้สึกด้านลบต่อสังคมโดยรวม
ในช่วงเวลาที่สังคมเปราะบางที่สุด คนทำคอนเทนต์ควรถามตัวเองว่า “สิ่งนี้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือไม่” หากเป็นข้อมูลจริงที่ทำให้คนปลอดภัยหรือได้รับกำลังใจ นั่นคือคอนเทนต์ที่ควรเผยแพร่ แต่ถ้ามีแนวโน้มทำให้เกิดความเข้าใจผิด ซ้ำเติม หรือสร้างประโยชน์ให้ผู้โพสต์มากกว่าผู้เดือดร้อน ก็ควรหยุดไว้ก่อน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง