
SHORT CUT
เหตุการณ์รุนแรงอาจจบ แต่ใจยังไม่พร้อมเดินต่อ—สำรวจความรู้สึกหลังภัยพิบัติและวิธีค่อย ๆ กลับมายืนได้ใหม่
ภัยพิบัติมักเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นพายุรุนแรง แผ่นดินไหว ไฟป่า หรืออุบัติเหตุครั้งใหญ่ เหตุการณ์เหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจ มึนงง และตั้งรับไม่ทัน แม้ว่าอาจไม่มีบาดแผลทางกาย แต่บาดแผลทางใจก็เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าที่คิด หลังเหตุการณ์ผ่านไป หลายคนยังคงต้องรับมือกับความรู้สึกสับสน ความกลัว และความไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อจากนี้
เมื่อเวลาผ่านไป อารมณ์และพฤติกรรมของผู้คนอาจเปลี่ยนแปลงไปในหลากหลายรูปแบบ บางคนมีภาพเหตุการณ์ย้อนกลับมาอย่างชัดเจนจนหัวใจเต้นแรงหรือเหงื่อออก บางคนกินมากผิดปกติ ขณะที่บางคนกลับกินไม่ลงเลย เสียงไซเรน กลิ่นไหม้ หรือสิ่งแวดล้อมที่คล้ายคลึงกันอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นความทรงจำ ทำให้รู้สึกหวาดผวาหรือกลัวว่าภัยพิบัติจะเกิดซ้ำ ความเครียดที่สะสมยังอาจทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือที่ทำงานตึงเครียดมากขึ้น บางคนเลือกเก็บตัว หลีกเลี่ยงผู้คน ขณะที่บางคนอาจเกิดอาการเจ็บป่วยจากความเครียด เช่น ปวดหัว คลื่นไส้ หรือโรคประจำตัวกำเริบ
แม้จะเป็นช่วงเวลาหนักหนา แต่งานวิจัยชี้ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่มีความสามารถในการฟื้นตัวสูง เมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่เดือน ผู้คนมักค่อย ๆ กลับมามีสมดุลเหมือนเดิม กระบวนการเยียวยาเริ่มจากการยอมให้ตัวเองรู้สึกเศร้าหรืออ่อนไหวในช่วงนี้ เพราะการรับรู้อารมณ์ของตัวเองคือก้าวแรกของการฟื้นฟู การขอการสนับสนุนจากคนที่ไว้ใจ เช่น ครอบครัว เพื่อน หรือคนที่ผ่านเหตุการณ์คล้ายกันคือส่วนสำคัญของการเยียวยา การได้พูดคุยหรือเล่าความรู้สึกออกมา ไม่ว่าจะด้วยการพูด เขียน หรือแสดงออกผ่านงานสร้างสรรค์ ช่วยให้ใจค่อย ๆ ผ่อนคลาย และลดความรู้สึกโดดเดี่ยวลงอย่างมาก
เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือกลุ่มบำบัด
การแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนที่ผ่านเหตุการณ์คล้ายกัน และมีผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแล ทำให้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองง่ายขึ้นและไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
กลับเข้าสู่กิจวัตรประจำวันอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เลือกรื้อฟื้นกิจวัตรเรียบง่าย เช่น ตื่น–นอนเป็นเวลา จัดตารางกินข้าว หรือสร้างกิจวัตรที่ช่วยให้ร่างกายกลับมารู้สึกปลอดภัยและมั่นคง
ใส่ใจสุขภาพกาย
กินอาหารที่ดีต่อร่างกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อช่วยลดระดับความเครียดและกระตุ้นสารความสุขตามธรรมชาติ
กลับไปทำกิจกรรมที่ช่วยเติมพลังใจ
ทำงานอดิเรกหรือกิจกรรมที่เคยชอบ เช่น วาดรูป ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือเดินเล่นในที่ที่รู้สึกดี ช่วยให้ใจกลับมามีพลัง
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และสารเสพติด
แม้อาจช่วย “ลืม” ชั่วคราว แต่จะทำให้สภาพจิตใจและร่างกายแย่ลงในระยะยาว และขัดขวางการฟื้นฟูที่แท้จริง
ในช่วงที่อารมณ์ยังไม่นิ่ง ควรหลีกเลี่ยงการตัดสินใจสำคัญ เช่น เปลี่ยนงาน ย้ายบ้าน หรือเริ่มต้นสิ่งใหญ่ ๆ เพราะการตัดสินใจขณะสภาพจิตใจอ่อนไหวอาจนำไปสู่ความเครียดที่มากกว่าเดิม หากเวลาผ่านไปแล้วอาการหนักใจ เศร้า วิตกกังวล หรือหมดแรงยังไม่ดีขึ้น หรือเริ่มส่งผลกระทบต่อการทำงานและชีวิตประจำวัน การขอความช่วยเหลือจากนักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตคือทางเลือกที่ปลอดภัยและเหมาะสม ผู้เชี่ยวชาญสามารถช่วยค้นหาวิธีจัดการความเครียด วางแผนการดูแลตัวเอง และพาเราไปสู่เส้นทางการฟื้นตัวที่มั่นคงขึ้น
ที่มา :apa
ข่าวที่เกี่ยวข้อง