svasdssvasds

วิกฤตน้ำท่วมไทยซ้ำซาก: 4 ความรู้ที่ผู้นำต้องมี ไม่ใช่แค่ "สัญชาติญาณ"

วิกฤตน้ำท่วมไทยซ้ำซาก: 4 ความรู้ที่ผู้นำต้องมี ไม่ใช่แค่ "สัญชาติญาณ"

ศศิน เฉลิมลาภ ชี้ ประเทศไทย ยังขาด 4 องค์ ความรู้สำคัญ และนั่นเป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้ น้ำท่วมจึงกลายเป็นวิกฤติซ้ำซาก เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก และที่สำคัญ 4 เรื่องนี้ ต้องเรียนรู้อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ใช้สัญชาติญาณอีกต่อไป

ศศิน เฉลิมลาภ ชี้ ประเทศไทย ยังขาด  4 องค์ ความรู้สำคัญ และนั่นเป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้ น้ำท่วมจึงกลายเป็นวิกฤติซ้ำซาก เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก  และที่สำคัญ 4 เรื่องนี้ ต้องเรียนรู้อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ใช้สัญชาติญาณอีกต่อไป 


จากสถานการณ์น้ำท่วมที่ภาคใต้ ในหลายวันนี้ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ที่เพิ่งผ่านพ้นภาวะวิกฤต และเริ่มต้นการฟื้นฟูกันในหลายๆพื้นที่  โดยเฉพาะพื้นที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก 

หลายคนตั้งคำถามถึงระบบจัดการน้ำในประเทศไทย รวมไปถึงการจัดการของหน่วยงานรัฐและหน่วยงานราชการ ต่อเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ และมีคำถาม "คาใจ" มากมาย ว่าทำไม น้ำท่วมภาคใต้ครั้งนี้ จึงส่งผลกระทบรุนแรงเป็นอย่างมาก 

ล่าสุด นาย ศศิน เฉลิมลาภ กรรมการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความเห็น ถึงประเด็น 4 องค์ ความรู้ ที่ประเทศไทยขาด น้ำท่วมจึงกลายเป็นวิกฤติซ้ำ  โดยระบุว่า 

4 ความรู้ที่ประเทศไทยขาด: ทำไมน้ำท่วมจึงกลายเป็นวิกฤติซ้ำซาก

1) Hydrology – ความเข้าใจธรรมชาติของน้ำ (ที่ต้องเรียน ไม่ใช่เดาเอา)

2) Hazard Assessment – การประเมินความเสี่ยง (ศาสตร์จริง ไม่ใช่ใช้ความรู้สึก)

3) Early Warning – ระบบเตือนภัย (เป็นศาสตร์เฉพาะทาง ไม่ใช่การปลอบใจ)

4) Crisis Command – การบัญชาการวิกฤติ (ต้องเรียน ต้องซ้อม ไม่ใช่ “ทำเท่” หน้างาน)

 

วิกฤตน้ำท่วมไทยซ้ำซาก: 4 ความรู้ที่ผู้นำต้องมี ไม่ใช่แค่ "สัญชาติญาณ" Credit ภาพ REUTERS
.
 

4 ความรู้ที่ประเทศไทยขาด: ทำไมน้ำท่วมจึงกลายเป็นวิกฤติซ้ำซาก

(และทำไม 4 เรื่องนี้ “ต้องเรียน” ไม่ใช่เกิดจากสัญชาตญาณ)

น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งล่าสุดเปิดเผยความจริงหนึ่งที่เจ็บปวดแต่จำเป็นต้องยอมรับว่า

ประเทศไทยไม่ได้ขาดทรัพยากร ไม่ได้ขาดคนอาสา ไม่ได้ขาดเทคโนโลยี

แต่เราขาด “ผู้นำที่มีความรู้พื้นฐานด้านน้ำ” ในระดับที่จำเป็นต้องมี

ที่สำคัญที่สุด—

ความรู้สี่อย่างนี้ไม่ใช่สัญชาตญาณ ไม่ใช่ประสบการณ์หน้างาน และไม่ใช่เรื่องที่ “เดี๋ยวก็เข้าใจเอง”

แต่เป็น ศาสตร์จริง ๆ ที่ต้องผ่านการเรียนรู้ ได้รับการฝึก และต้องฝึกซ้ำในสถานการณ์จำลองแบบสากล

ในหลายประเทศ ผู้บริหารระดับจังหวัด–กระทรวง–ศูนย์บัญชาการภัยพิบัติ

ต้องเรียน 4 เรื่องนี้ ก่อน เข้ารับตำแหน่งด้วยซ้ำ

เพื่อป้องกันไม่ให้การตัดสินใจของผู้นำกลายเป็นปัจจัยทำให้ความเสียหายขยายวงขึ้น

1) Hydrology – ความเข้าใจธรรมชาติของน้ำ (ที่ต้องเรียน ไม่ใช่เดาเอา)

Hydrology ไม่ใช่เรื่องของนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น

แต่เป็นพื้นฐานที่ผู้นำต้องเข้าใจ เช่น

ทิศทางน้ำไหลขึ้นกับภูมิประเทศ และสิ่งปลูกสร้างมนุษย์

ฝน “ชนิดต่างกัน” ให้ผลต่างกัน: ตกนาน vs ตกแรง

ถนน–เขื่อน–คลอง–ท่อ ทำให้ทางน้ำเปลี่ยน

เมืองที่ขยายทับพรุ–บึง = ความเสี่ยงสูงขึ้นหลายเท่า

ความเข้าใจแบบนี้ “เรียนได้” ผ่านคอร์สระดับ 1–2 วัน

แต่ถ้าไม่มี → ผู้นำจะประเมินผิด และประกาศผิด

เหมือนครั้งที่หาดใหญ่ที่เทศบาลบอกว่าน้ำลด ทั้งที่แบบจำลองชี้ว่าฝนจะลงต่อเนื่องอีก 5 วัน

นี่คือความรู้เชิงระบบ ไม่ใช่ “ดูฟ้าแล้วเดา”

2) Hazard Assessment – การประเมินความเสี่ยง (ศาสตร์จริง ไม่ใช่ใช้ความรู้สึก)

Hazard assessment คือวิชาที่สอนในคอร์สจัดการภัยพิบัติทั่วโลก เช่น JICA, FEMA, AHA Centre

และเป็นหัวใจของการปกป้องชีวิตประชาชน

มันไม่ได้เกิดจากสัญชาตญาณ แต่ต้องอาศัยการเรียนรู้และฝึกซ้ำ เช่น:

วิเคราะห์จุดเสี่ยงจากระดับความสูง

แผนที่ “จุดน็อคดาวน์” ของเมือง

จำลองสถานการณ์น้ำไหลแบบ 3 ระดับ (น้อย–กลาง–มาก)

การแบ่งเคสเป็นแดง–เหลือง–เขียว

วางไลน์อพยพล่วงหน้า

ไม่มีใคร “มองพื้นที่ปุ๊บแล้วรู้ได้เลย”

ต้องผ่านการเรียนให้เข้าใจวิธีคิดแบบเป็นระบบ

ปัญหาของไทยคือผู้นำท้องถิ่นหลายแห่งไม่เคยถูกอบรมเรื่องนี้เลย

ทำให้ประกาศอพยพ “หลังน้ำท่วมแล้ว”

ซึ่งเท่ากับประกาศให้ประชาชนเสี่ยงชีวิตแบบไม่มีความจำเป็น

3) Early Warning – ระบบเตือนภัย (เป็นศาสตร์เฉพาะทาง ไม่ใช่การปลอบใจ)

Early warning system ไม่ใช่การอ่านพยากรณ์แล้วบอกว่า “มีฝน”

แต่ต้องแปลข้อมูลเป็น “ผลกระทบล่วงหน้า” เช่น

ฝนเข้าเส้นนี้ → น้ำจะล้นจุดนี้อีก 3 ชั่วโมง

ระบายน้ำช้าจากจุดนี้ → ให้ย้ายรถทันที

คืนนี้เสี่ยงหนัก → ส่งสัญญาณเตือนชุมชนล่วงหน้า 6–12 ชม.

กรณีเลวร้ายที่สุด → เตรียมอพยพก่อนฝนระลอกต่อไป

นี่คือการประมวลผลแบบ Impact-based Forecasting ที่สากลใช้

ต้องฝึก ไม่ใช่อาศัยความชำนาญส่วนตัว

แต่ไทยกลับกลัวเตือนผิดมากกว่ากลัวคนเดือดร้อน

จึงเกิดคำว่า “เอาอยู่” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทั้งที่เรดาร์ฟ้องชัดว่าฝนจะลงอีกหลายวัน

เพราะผู้นำไม่เคยเรียนวิธีตีความข้อมูลแบบเชิงระบบ

4) Crisis Command – การบัญชาการวิกฤติ (ต้องเรียน ต้องซ้อม ไม่ใช่ “ทำเท่” หน้างาน)

ระบบ ICS (Incident Command System) เป็นหลักสูตรมาตรฐานของกู้ภัยและผู้นำทั้งโลก

ตั้งแต่สหรัฐ, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, ออสเตรเลีย ไปจนถึงอินโดนีเซีย

ทุกฝ่ายต้องฝึกก่อนทำงานจริง

หน้าที่ของผู้บัญชาการ (Commander) คือ:

รวมข้อมูลทุกระบบ → ให้เป็นภาพเดียว (Common Operating Picture)

บูรณาการกู้ภัย–ทหาร–หน่วยงานท้องถิ่น

จัดลำดับทรัพยากร

ชี้เป้าการช่วยเหลือตามความเร่งด่วน

ตัดสินใจ “ระดับมหภาค” ไม่ใช่ลุยน้ำถ่ายรูป

แต่วัฒนธรรมไทยทำให้ผู้บริหารคิดว่า

“ลงพื้นที่ = ทำงาน”

ทั้งที่หน้าที่จริงคือ สั่งการจาก War Room เพื่อให้ระบบเดินทั้งประเทศ

การขาด Crisis Command ที่ถูกต้อง

คือสาเหตุที่ทำให้ประชาชนต้องสร้างระบบช่วยเหลือกันเองในครั้งนี้

บทสรุป: 4 ความรู้ที่ผู้นำไทยต้องเรียน ไม่ใช่เดา

วิกฤติครั้งนี้ทำให้เราเห็นว่า

ประเทศไทยไม่ได้ขาดคนเก่ง แต่ขาด ผู้นำที่เข้าใจศาสตร์ด้านน้ำในระดับที่ต้องมี

ความรู้ 4 เรื่องนี้คือ:

ไม่ใช่สัญชาตญาณ

ไม่ใช่ Common sense

ไม่ใช่ “แล้วแต่พื้นที่”

ไม่ใช่ประสบการณ์ส่วนตัว

แต่เป็น วิชาการที่มีหลักสูตร มีมาตรฐาน มีระบบฝึกจริงในระดับสากล

ถ้าผู้นำไทยไม่เรียน 4 เรื่องนี้

น้ำท่วมครั้งหน้า—จะจบแบบเดิม

ประชาชนต้องช่วยกันเองก่อนรัฐอีกครั้ง

เพราะระบบรัฐยังไม่มี “คนที่รู้หน้าที่และรู้วิธีอ่านวิกฤติ”

คำถามสำคัญคือ:

เราจะให้ผู้นำด้านน้ำของไทย ต้องผ่านความรู้พื้นฐาน 4 ด้านนี้ทุกคนหรือไม่?

ถ้าใช่—นี่คือจุดเริ่มต้นของการปฏิรูประบบน้ำที่แท้จริง

ถึงเวลาปฏิรูปผู้นำ ก่อนวิกฤตครั้งหน้าจะมาถึง

บทเรียนจากน้ำท่วมภาคใต้ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยมี "คนเก่ง" แต่ขาดระบบที่เอื้อให้ความรู้ทางวิชาการถูกนำมาใช้ในการตัดสินใจระดับสั่งการ

ข้อเสนอของนายศศินทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า หากเรายังปล่อยให้ผู้นำบริหารจัดการน้ำด้วย "สามัญสำนึก" แทนที่จะเป็น "หลักวิชาการ" วิกฤตน้ำท่วมครั้งหน้าก็จะจบลงด้วยภาพเดิมๆ คือความสูญเสียของประชาชน และความล้มเหลวของรัฐ

คำถามสำคัญที่สังคมต้องถามต่อคือ ประเทศไทยพร้อมหรือยังที่จะกำหนดให้ "ความรู้ 4 ด้านนี้" เป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ผู้บริหารระดับสูงทุกคน "ต้องมี" ก่อนเข้ารับตำแหน่ง เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมอีกต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related