
SHORT CUT
“ศาสนาพุทธไม่ได้เสื่อม สิ่งที่เสื่อมคือระบบรัฐที่ครอบศาสนาไว้” — วิจักขณ์ พานิช ชี้สาเหตุคนรุ่นใหม่ไม่อินศาสนารูปแบบเดิม
“ทุกวันนี้ วัดทุกวัดเหมือนเป็นหน่วยงานราชการ เจ้าอาวาสหรือพระก็เหมือนข้าราชการ มีกฎระเบียบจากเบื้องบนคอยกำกับควบคุมทั้งหมด แล้วแบบนี้เราจะหวังให้ศาสนามีชีวิตชีวาเข้าถึงประชาชนได้อย่างไร”
นั่นคือคำตอบตรงไปตรงมาของ ตั้ม - วิจักขณ์ พานิช ผู้อำนวยการสถาบันวัชรสิทธา และนักวิชาการอิสระด้านศาสนาและปรัชญา ที่ทีม SPRiNG พูดคุยด้วยถึงเหตุผลที่คนรุ่นใหม่ถอยห่างจากศาสนา และสาเหตุที่ศาสนาพุทธในบ้านเรายังวนเวียนอยู่ใน “ยุคมืด”
คุณตั้มเล่าว่า “ศาสนาพุทธในบ้านเรา มีองค์กรศาสนาที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมทุกอย่าง ทั้งที่ในอดีตไม่ได้เป็นเช่นนี้ เดิมทีศาสนาพุทธในไทยเป็นแบบ ‘forest tradition’ หรือวิถีแบบวัดป่า ที่ทั้งสมณะและพระป่าเดินท่องไปในพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้ศาสนา “ไม่มีลักษะตายตัว” แต่เป็น เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง และเติบโตอยู่ตลอดเวลา และเป็นพลังสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาเติบโตในเอเชียอาคเนย์ เกิดการเรียนรู้จากครูและศิษย์จากรุ่นสู่รุ่น”
“แต่เมื่ออำนาจรัฐเข้ามา ความหลากหลายนี้ก็ถูกลดทอนจนเหลือเพียงแบบเดียว วัดทุกวัดเวลาจะทำอะไรต้องขออนุญาตจากรัฐ ต้องสอนเรื่องเดียวกับที่รัฐกำหนด ไม่สามารถทำนอกเหนือจากกฎของรัฐได้ สุดท้ายศาสนาพุทธถูกควบคุมโดยรัฐ และถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองอย่างชัดเจน วัดทุกวัดทำหน้าที่เหมือนหน่วยงานราชการ เจ้าอาวาสและพระก็เหมือนข้าราชการ ถูกควบคุมทั้งหมด จนยากที่จะมีชีวิตชีวา ศาสนาแบบนี้จะสามารถสัมพันธ์กับความทุกข์ของชาวบ้านได้อย่างไร ในเมื่อวัดได้กลายเป็นองค์กรของรัฐ มีคำสั่งจากเบื้องบนกำหนดว่าจะจัดกิจกรรมอะไรได้หรือไม่ได้”
คุณตั้มชี้ว่า หากต้องการให้ศาสนาพุทธ หรือแม้แต่ศาสนาอื่น ๆ กลับมามีความสร้างสรรค์ จำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “รัฐแบบโลกวิสัย” แยกศาสนาออกจากรัฐอย่างแท้จริง ไม่ต้องมีองค์กรกลางคอยกำกับ แต่ให้แต่ละศาสนาทำงานในรูปแบบมูลนิธิหรือองค์กรสาธารณประโยชน์เพื่อสังคม โดยรัฐไม่ควรใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมือง วัดควรเป็นของชุมชน ดูแลกันเอง ปรับตัวตามความต้องการและบริบทของพื้นที่ ชุมชนต้องมีสิทธิในการตรวจสอบอย่างแท้จริง
“ปัจจุบันโครงสร้างเช่นคณะสงฆ์หรือมหาเถรสมาคมยังครอบศาสนาพุทธไว้อย่างแน่นหนา ทำให้ศาสนาไม่เคยเป็นอิสระ ทั้งที่แท้จริงแล้วศาสนาคือเรื่องของการเรียนรู้ สังคมศาสนาที่ดีควรเป็นของผู้ปฏิบัติ แลกเปลี่ยน รับฟัง และรู้จักกัน ขณะที่ศาสนาพุทธของรัฐกลับตีความในเชิงหลักการศีลธรรมที่กำหนดตายตัวว่าอะไรถูกอะไรผิด พร้อมใช้อำนาจครอบกำกับ ซึ่งไม่มีประโยชน์กับมนุษย์ เปรียบได้กับคริสตจักรในยุคมืด ที่มีอำนาจใกล้ชิดรัฐและเป็นผู้ผูกขาดการตีความ ใครเห็นต่างจะถูกตีตราว่าเป็นพวกนอกรีต ทั้งที่บางคนอาจเพียงเป็นผู้ศรัทธาในจิตวิญญาณ หรือทำพิธีกรรมสร้างสรรค์แต่กลับถูกปฏิเสธ”
“ในยุคมืด แม้แต่นักคิดอย่างกาลิเลโอยังถูกจับ เพียงเพราะไม่เชื่อว่าโลกแบนตามพระคัมภีร์ นั่นคือตัวอย่างของการไม่เปิดพื้นที่ให้ตั้งคำถาม จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงในยุคเรเนซองส์และยุคเอนไลเทนเมนต์ ที่วิชาการเฟื่องฟู เกิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัย”
“ศาสนาพุทธในไทยยังติดอยู่ในยุคมืดแบบนั้น โครงสร้างทางการเมืองยังเป็นแบบศักดินา มีศูนย์อำนาจควบคุมทุกอย่าง เหมือนถูกแช่แข็งไว้ไม่ให้เคลื่อนไปข้างหน้า การรอให้ระบบเปลี่ยนไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกนาน แต่คนรุ่นใหม่ไม่รอแล้ว พวกเขาไม่เอาศาสนาที่ผูกติดกับจิตสำนึกเดิม ไม่เอารูปแบบเดิม ๆ แต่ต้องการศาสนาที่มีวิธีการนำเสนอใหม่ มีศูนย์และพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของเขา”
คุณตั้มยกตัวอย่างจากประสบการณ์การเรียนที่อเมริกา ซึ่งศาสนาพุทธถือเป็นศาสนารอง ไม่ได้มีวัดมากมาย ไม่มีรัฐสนับสนุน แต่นั่นกลับทำให้เขาสนใจ
“เมื่อไม่มีรัฐมาอุปถัมภ์ ทุกคนต้องลงมือทำเอง ไม่มีใครมาสั่งหรือกำหนดว่าต้องทำอะไร การเรียนรู้ของชาวพุทธในอเมริกาจึงเปิดกว้าง มีพื้นที่ มีความหลากหลาย ทั้งในแง่ของวิธีคิดและรูปแบบปฏิบัติ ซึ่งต่างจากศาสนาพุทธในบ้านเรามาก”
“พอกลับมา เราเห็นความเสื่อม ความไม่มีชีวิตชีวาของวัด เลยอยากลองจัดพื้นที่ขึ้นมาเอง”
คุณเล่าถึง ศูนย์วัชรสิทธา และ อวโลกตะ ซึ่งเขานิยามว่าเป็นทั้งศูนย์การเรียนรู้ทางจิตวิญญาณและพื้นที่ภาวนา
“เราทำภายใต้มูลนิธิ ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับคนที่อยากทำอะไรแบบนี้”
“ที่วัชรสิทธา มีความเป็น Buddha Center มีคลาส มีห้องเรียน มีกิจกรรมที่อาจารย์มาสอน ทั้งเรื่องภาวนา คุณค่าทางจิตวิญญาณ การเขียนบทความ วาดภาพ พิธีกรรม จิตวิทยาพื้นฐาน ความเข้าใจตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ มีความหลากหลายของตัวห้องเรียน”
“เราไม่ได้ตั้งใจให้มันต่างจากวัดทั่วไป แต่อยากให้เป็นแรงบันดาลใจ ให้วัดในกรุงเทพฯ หรือสถานที่ใกล้รถไฟฟ้า ลองทำแบบนี้ดูสิ เปิดให้เป็นพื้นที่ภาวนา แค่จัดเบาะ มีพื้นที่สีเขียวให้คนพักใจ เขาเหนื่อยมาทั้งวัน ก็เข้ามาเติมน้ำให้จิตวิญญาณ มีอาสาสมัครดูแล ใช้เงินจากการบริจาคร้อยเปอร์เซ็นต์”
“อยากให้พื้นที่นี้เป็นแรงบันดาลใจ เป็นทางเลือก ให้คนได้เอะใจขึ้นมานิดหนึ่ง ว่าเราหลงลืมอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า ศาสนาไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัว มันอยู่ในชีวิตประจำวันของเราได้ง่าย ๆ เลย”
“เราสื่อสารในภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจได้ และศูนย์เหล่านี้ก็มีคนเห็นคุณค่า สนับสนุนให้เราอยู่ได้ และเราก็ใช้เงินอย่างคุ้มค่า เพื่อให้มันอยู่ได้ดีที่สุด”
แรก ๆ คนที่มาวัชรสิทธามักถูกมองว่า “เป็นคนแปลกๆ” แต่จริง ๆ คือกลุ่มคนที่ตั้งคำถามและแสวงหาความหมายบางอย่างที่หาจากที่อื่นไม่ได้ ส่วนใหญ่สนใจเรื่องจิตวิญญาณ สนใจมหายาน วัชรยาน หรือการตีความพุทธศาสนาในมุมที่เปิดกว้างขึ้น หลัง ๆ คนที่มามักเป็นวัยรุ่น หรือแม้แต่คนอายุมากแต่ยังมีจิตวิญญาณที่เยาว์วัยก็ยังเลือกมา เพราะพวกเขาต้องการเรียนรู้และปฏิบัติในหลักที่อยู่กับความเป็นจริง
แน่นอนว่าช่วงแรกก็มีเสียงตำหนิหรือนินทาบ้าง เพราะสิ่งที่เราทำถือว่าใหม่สำหรับสังคมไทย แต่เวลาผ่านไป วัชรสิทธาก็เติบโตขึ้น มีคนสนับสนุนจนเป็นมูลนิธิที่มั่นคง
คุณตั้มเล่าว่า พื้นที่เรียนรู้เช่นนี้จึงเปรียบเหมือน “พลังทางปัญญา” ที่ช่วยให้ผู้คนกล้าเผชิญกับความทุกข์ เข้าใจตนเอง และเมื่อทำได้ ก็เกิดความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงภายในที่ขยายไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับสังคม
ทุกวันนี้ สิ่งที่เสื่อมคือศาสนาที่กลายเป็นสถาบัน แต่ตัวศาสนาในฐานะคำสอน แนวทาง และการปฏิบัติยังไม่เสื่อมหากยังมีกลุ่มคนที่ยึดถือและปฏิบัติจริงจัง ดังนั้นศาสนาไม่ได้เสื่อมแต่ศาสนาที่รวมศูนย์เป็นองค์กรสถาบันต่างหากที่เสื่อม
ในสังคมสมัยใหม่ ศาสนาควรถูกนำเสนอในฐานะคุณค่าทางจิตวิญญาณ เพราะศาสนาคือการเสนอคุณค่าของชีวิต ไม่ใช่การใช้อำนาจหรือการยัดเยียดความถูกต้อง เมื่อศาสนานำเสนอในเชิงจิตวิญญาณ ก็จะสอดคล้องกับยุคสมัย เปิดโอกาสให้คนตั้งคำถามได้อย่างกว้างขวาง เกิดความหลากหลาย และการตีความหลายมิติ ซึ่งนี่คือความหมายของการให้คุณค่าทางจิตวิญญาณ
คุณตั้มทิ้งท้ายว่า ศรัทธายังเป็นสิ่งจำเป็น
เพราะมันช่วยเราในวันที่เหตุผลไม่อาจพาเราไปต่อ
และยังมอบพลังให้เรายืนหยัดท่ามกลางความยากลำบากได้เสมอ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง