
SHORT CUT
กระทรวงสาธารณสุขยืนยันยอดผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมหาดใหญ่ 140 ราย ขั้นตอนการยืนยันตัวตนผู้เสียชีวิตมี 3 ขั้นตอนหลัก คือการรวบรวมและเก็บรักษาร่าง, การตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ด้วย DNA เทียบกับญาติ และการส่งมอบร่างคืนให้ครอบครัว
จากสถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งรุนแรงในรอบหลายปี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต และทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก ล่าสุดนพ.ศักดา อัลภาชน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงสถานการณ์ผู้เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ว่าจะยึดข้อมูลที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์เป็นหลัก เพราะเป็นศูนย์รวบรวมศพผู้เสียชีวิต ซึ่งข้อมูลปัจจุบัน ณ เวลา 16.00 มีผู้เสียชีวิตอยู่ในระบบ 140 คน เพิ่มขึ้นจากวานนี้ 2 คน แบ่งแยกเป็นเสียชีวิตในโรงพยาบาล 65 คน นอกโรงพยาบาล 75 คน ซึ่งขณะนี้ มีการพิสูจน์อัตลักษณ์ ได้ 104 คน เหลืออีก 36 คน ที่รอการพิสูจน์ตัวบุคคล และตอนนี้ ได้นำศพคืนสู่ญาติไปแล้ว 23 คน เหลือที่ศูนย์ 117 คน
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ออกมาเปิดเผยมียอดผู้เสียชีวิตหลัก 1,000 คน นพ.ศักดา กล่าวว่า อยู่ในพื้นที่ตลอด และกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ประมาทในการเตรียมการ และเตรียมตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 7 ตู้ เพราะไม่ทราบสถานการณ์ จะเป็นอย่างไร ซึ่งไม่ได้อยากให้มีผู้เสียชีวิตเยอะ เฉพาะวันแรกสามารถรวบรวมศพได้ 85-110 คน ซึ่งรวมผู้เสียชีวิตทั้งในและนอกโรงพยาบาล ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ และเพิ่มสูงมากที่สุดในช่วง 2 วันที่ผ่านมา โดยเพิ่มอีกจำนวน 30 คน ซึ่งเชื่อว่าประชาชนกลับเข้าไปในพื้นที่เกือบครบ 100%
ขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าไประดมทำความสะอาด ซึ่งหากจะพบศพเพิ่มก็คงจะเพิ่มไม่มาก อาจจะพบเล็กน้อยในจุดที่เข้าไม่ถึง แต่จะพบจำนวนมากอย่างที่เป็นข่าวไม่น่าเป็นไปได้
ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กอ.) ชี้แจงขั้นตอนการบริหารจัดการร่างผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ญาติและประชาชน
เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีภัยพิบัติรุนแรงเกิดขึ้นในประเทศไทยบ่อยครั้ง ซึ่งสร้างความสูญเสีย ต่อชีวิต ทรัพย์สิน ของประชากรเป็นจำนวนมาก ทั้งเหตุการณ์สึนามิ พ.ศ.2547 และมหาอุทกภัย พ.ศ.2554 ภาครัฐและห่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้อง จึงได้ตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยดังกล่าว จึงได้มีการปรับปรุงกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 ที่ได้มีการจัดตั้งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขึ้น เป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจ หลักในการดำเนินการป้องกัน บรรเทา ฟื้นฟู สาธารณภัยและอุบัติภัย ในงานด้านสาธารณภัยและงานด้าน อุบัติภัย และพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปี พ.ศ.2550 ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน ต้องมีการบูรณาการ พัฒนาระบบ ระเบียบ แนวทาง และแผนการปฏิบัติงานเพื่อรองรับสาธารณภัยร่วมกัน
การเกิดสาธารณภัยหรือภัยพิบัติหลายเหตุการณ์ อาจไม่ได้มีผู้บาดเจ็บเพียงอย่างเดียว แต่อาจรวมถึงมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ดังในเหตุการณ์สึนามิ พ.ศ.2547 ที่มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกถึง 204,270 คน หรือคิดเฉพาะในไทยถึง 5,313 คน ซึ่งในแต่ละเหตุการณ์นั้น นอกจากมีผู้บาดเจ็บแล้ว ยังมีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก
ซึ่งการเสียชีวิตในกรณีสาธารณภัยดังกล่าว ทั้งที่เกิดโดยธรรมชาติและเกิดจากการกระทำของมนุษย์นั้น ถือว่าเป็นเหตุให้ต้องมีการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย อันระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา พ.ศ.2477 กำหนดให้ แพทย์นิติเวช หรือแพทย์ในสังกัดโรงพยาบาลของรัฐ เป็นผู้ชันสูตร พลิกศพ ร่วมกับพนักงานสอบสวน แต่ในการชันสูตรพลิกศพกรณีสาธารณภัยนั้น มีความยากลำบากกว่าการชันสูตรพลิกศพตามปกติสามัญ เนื่องมาจากปัญหาสถานที่ปฏิบัติงานตรวจศพ หรือบุคลากรท้องที่อาจไม่มีความพร้อมเนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ต้องใช้บุคลากรจากท้องที่อื่น หรือปัญหาของสภาพศพที่เสียหายจากแรงกระทำภายนอก ทำให้กลายเป็นเนื้อเยื่อหรือชิ้นส่วนศพ รวมถึงศพที่เน่าสลายตามระยะเวลาที่ค้นหาและเก็บกู้ศพ ทำให้ไม่สามารถตรวจศพเพื่อระบุเอกลักษณ์โดยวิธีการปกติได้โดยง่าย
ซึ่งการระบุว่าผู้ตายเป็นใครนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นประเด็นด้านจริยธรรม ในการมอบศพคืนญาติ เพื่อนำไปประกอบพิธีการทางศาสนา หรือเพื่อวัตถุประสงค์ทางมรดก หรือทางกฎหมายอื่นๆ ซึ่งเป็นหลักสากลที่ประเทศทั่วโลกเห็นชอบ จึงต้องใช้วิธีการทางนิติวิทยาศาสตร์ที่เป็นมาตรฐานสากลเพื่อระบุว่าผู้ตายเป็นใคร