
SHORT CUT
น้ำท่วมหาดใหญ่ และ ภาคใต้ สะท้อนจุดอ่อนการบริหารจัดการน้ำของไทย ที่มีหน่วยงานเกี่ยวข้องมากกว่า 30 หน่วยงาน แต่ขาดการบูรณาการและทำงานแบบต่างคนต่างทำ
น้ำท่วมหาดใหญ่ : เมื่อมีหน่วยงานกว่า 30 แห่ง แต่ประชาชนไม่รู้จะฟังใคร ?
ในขณะที่มวลน้ำไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของอำเภอหาดใหญ่ และสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างใน 10 จังหวัดภาคใต้ สิ่งที่ไหลบ่าตามมาพร้อมกับกระแสน้ำคือ “คำถาม” จากประชาชนที่กำลังสับสนและสิ้นหวัง
คำถามนั้นไม่ใช่ “ฝนจะตกหนักแค่ไหน” เพราะกรมอุตุนิยมวิทยาได้ทำหน้าที่พยากรณ์แล้ว แต่คำถามที่สะท้อนถึงวิกฤตการบริหารจัดการของภาครัฐคือ “สรุปแล้ว เราต้องฟังใคร?”
น้ำท่วมภาคใต้ ครั้งล่าสุดนี้ ได้ฉายภาพซ้ำรอยแผลเดิมของการบริหารจัดการน้ำในประเทศไทย นั่นคือการมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมายมหาศาล แต่กลับขาด “เอกภาพ” ในการสั่งการ ส่งผลให้รัฐบาลต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการตั้งศูนย์บัญชาการซ้อนกันถึง 3 รูปแบบ ท่ามกลางโครงสร้างระบบราชการที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน
หากจะกล่าวว่าประเทศไทยขาดแคลนบุคลากรด้านน้ำ คงเป็นคำกล่าวที่ผิดถนัด ข้อมูลเชิงโครงสร้างระบุชัดเจนว่า ประเทศไทยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำมากถึง 37 หน่วยงาน กระจายตัวอยู่ภายใต้สังกัดของ 10 กระทรวง ครอบคลุมภารกิจทั้ง 4 ด้านหลัก ได้แก่ น้ำฝน, น้ำท่า, คุณภาพน้ำ และการป้องกันภัย ประชาชนทั่วไปอาจคุ้นเคยกับชื่อหน่วยงานหลักๆ แต่อาจไม่ทราบว่าเบื้องหลังนั้นคือโครงข่ายที่โยงใยซับซ้อน :
ผู้กำกับนโยบาย: มี สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นหน่วยงานกลางที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ทำแผนแม่บทและผังน้ำภาพรวม
ผู้ปฏิบัติการและโครงสร้างพื้นฐาน: กรมชลประทาน (กระทรวงเกษตรฯ) ดูแลการระบายน้ำและเขื่อน, กรมทรัพยากรน้ำ และ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล (กระทรวงทรัพย์ฯ) ดูแลแหล่งน้ำธรรมชาติ
ผู้เฝ้าระวังและข้อมูล: สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) และ GISTDA (กระทรวง อว.) ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและดาวเทียมในการวิเคราะห์ข้อมูล ร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยา (กระทรวงดิจิทัลฯ) ที่ดูแลพยากรณ์อากาศ
ผู้เผชิญเหตุและเตือนภัย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) (กระทรวงมหาดไทย) ซึ่งมี ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ อยู่ภายใต้สังกัด ทำหน้าที่แจ้งเตือนและเข้าช่วยเหลือเมื่อภัยมาถึง
ในทางทฤษฎี นี่ควรเป็น "ดรีมทีม" ที่มีข้อมูลครบถ้วนรอบด้าน แต่ในทางปฏิบัติ ผู้เชี่ยวชาญและนักสังเกตการณ์ต่างชี้ตรงกันว่า ปัญหาคลาสสิกของระบบราชการไทยคือการทำงานแบบ "ต่างคนต่างทำ"
เมื่อเกิดเหตุวิกฤต ข้อมูลจากแต่ละหน่วยงานมักไม่ถูกบูรณาการเข้าด้วยกันอย่างทันท่วงที การแจ้งเตือนภัยจึงกระจัดกระจาย ประชาชนต้องคอยเช็กข้อมูลจากหลายแหล่ง ตั้งแต่เพจ Facebook ของกรมอุตุฯ ไปจนถึงประกาศท้องถิ่น ซึ่งบ่อยครั้งข้อมูลไม่ตรงกัน หรือแจ้งเตือนเมื่อภัยมาถึงตัวแล้ว
ความไร้เอกภาพนี้สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนที่สุดในเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ตอนล่างเมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อสถานการณ์รุนแรงจนรัฐบาลต้องยกระดับเป็น "ภัยพิบัติร้ายแรงอย่างยิ่ง
แทนที่จะมีกลไกถาวรที่กดปุ่มทำงานได้ทันที รัฐบาลกลับต้องงัดเอากลไกพิเศษออกมาใช้ โดยมีการตั้งหน่วยงานและศูนย์บัญชาการขึ้นมาเพื่อรับมือสถานการณ์นี้ถึง 3 ส่วนหลัก ซึ่งสร้างความสับสนในสายตาคนนอกไม่น้อย:
คำถามที่สื่อมวลชนต้องถามนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือ "ตกลงใครมีอำนาจตัดสินใจสูงสุด?"
แม้ อนุทินจะยืนยันว่า ผบ.สส. สามารถสั่งการได้โดยตรงตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ ร.อ.ธรรมนัส สามารถสั่งการหน้างานได้ในฐานะรองนายกฯ แต่ภาพของการมี "แม่ทัพ" หลายคนในสนามรบเดียว สะท้อนให้เห็นว่า กลไกปกติที่มีอยู่มากกว่า 30 หน่วยงานนั้น อาจยังไม่เพียงพอ หรือไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะรับมือวิกฤตระดับชาติได้ด้วยตัวเอง
อนาคตการจัดการน้ำ: ต้องการ 'เจ้าภาพ' ไม่ใช่แค่ 'เจ้าหน้าที่'
ประเด็นเรื่อง Cell Broadcast Service หรือระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือที่มี แต่เทคโนโลยีเป็นเพียงปลายน้ำ หากต้นน้ำคือ "การตัดสินใจ" ยังคงกระจัดกระจาย เทคโนโลยีที่ดีที่สุดก็อาจไร้ความหมาย
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และรองประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติชี้ว่า สิ่งที่ประเทศไทยขาดไม่ใช่ข้อมูล หรือหน่วยงาน แต่คือ "หน่วยงานบัญชาการถาวรที่เป็นมืออาชีพ" ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการสั่งการข้ามกระทรวงได้ทันทีโดยไม่ต้องรอนายกรัฐมนตรีมานั่งหัวโต๊ะเพื่อตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ทุกครั้งที่น้ำท่วม
ตราบใดที่โครงสร้างการบริหารจัดการน้ำยังเป็นเบี้ยหัวแตกกระจายอยู่ตาม 10 กระทรวง และการบูรณาการยังเป็นเพียงคำสวยหรูในหน้ากระดาษแผนแม่บท ประชาชนไทยอาจต้องเตรียมใจรับมือกับภัยพิบัติด้วย "สัญชาตญาณ" และ "ประสบการณ์ส่วนตัว" ต่อไป มากกว่าที่จะพึ่งพาระบบเตือนภัยของรัฐ
เพราะในวันที่น้ำมา... เราอาจไม่รู้ว่าต้องรอฟังเสียงจากใคร
ที่มา : bangkokbiznews springnews
ข่าวที่เกี่ยวข้อง