
SHORT CUT
การจัดการสถานการณ์วิกฤติอุทกภัยที่ภาคใต้ โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา ที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่าร้อยชีวิต แถมยังสร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินและเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มายังรัฐบาลว่า "ผิดพลาด-ล่าช้า" จริงไหม? รัฐบาลออกมาชี้แจงในแต่ละห้วงเวลาอย่างไร?
ย้อนไปเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ หลังจากที่ อนุทิน ลงพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในวันที่ 22 และเดินทางกลับมาร่วมประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคภูมิใจไทยในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 ก่อนที่จะไปลงพื้นที่ต่อในช่วงบ่าย เขาได้กล่าวก่อนเข้าร่วมการประชุมว่า ขณะนี้สถานการณ์มีน้ำท่วมประมาณ 3 จังหวัด โดยพื้นที่หนักคือ พัทลุงและสงขลา แต่อาจจะมีสถานการณ์เพิ่มขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะนี้ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ท่วมหนักเป็นพิเศษ เพราะเป็นพื้นที่ต่ำและมีปริมาณน้ำหลาก อย่างไรก็ตาม ภาคใต้จะไม่เหมือนกับที่อื่น เนื่องจากสามารถระบายน้ำลงสู่ทะเลได้ หากไม่มีฝนเข้ามาเติม ประมาณ 3-4 วันในการระบาย โดยประเมินว่าอาจจะมีพายุลูกใหญ่ช่วง 1-2 วันนี้ จากนั้นก็จะหมด โดยสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัดสำรวจจำนวนครอบครัวผู้ประสบภัยเพื่อช่วยเหลือในทันที
“ในส่วนของภาคใต้อย่างน้อยยังมีการระบายของน้ำลงไปสู่ทะเลได้ ถ้าไม่มีปริมาณฝนพายุเข้ามาเพิ่มเติมก็จะใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน แล้วก็คาดว่าพายุลูกใหญ่ๆ น่าจะมีถึง 1-2 วันนี้ก็หมดแล้ว” อนุทิน กล่าว
แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่นายกรัฐมนตรีคาดการณ์ ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องช่วงวันที่ 19 - 25 พฤศจิกายน 2568 หรือที่หลายคนเรียกว่าระเบิดฝน (Rain Bomb) ประกอบกับพื้นที่หาดใหญ่ที่มีลักษณะเป็นที่ลาบลุ่มกว้างโดยมีเทือกเขาอยู่ตอนบน ทำให้หาดใหญ่กลายเป็นพื้นที่รับน้ำที่ไหลมาจากภูเขาโดยตรง น้ำไหลมาเร็วแต่ระบายออกช้า เนื่องจากมีแค่คลองอู่ตะเภาที่ระบายน้ำลงสู่ทะเล สุดท้ายเกิดผลกระทบต่อประชาชนราว 157,333 คน หรือ 25,162 ครัวเรือน
ขณะที่จังหวัดก็ไม่ได้มีการเตรียมการรับมือ เพราะคิดว่าหาดใหญ่คงถูกน้ำท่วมและจะสามารถระบายได้เร็วเหมือนทุกปีทำให้ไม่ได้เตรียมแผนรับมือที่ชัดเจน หลายคนมองว่า แม้จะมีระบบแจ้งเตือนภัยถึงประชาชน Cell Broadcast แต่การสื่อสารข้อมูลจากหน่วยงานรัฐไม่ชัดเจนและไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง การแจ้งเตือน บอกแต่เพียงว่าฝนตกหนัก เก็บของขึ้นสูงและเตรียมการอพยพ แต่ไม่ชัดเจนว่าอพยพที่ใด เส้นทางไหนและเมื่อไหร่
จากนั้น วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดสงขลา และได้มอบให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นผู้อำนวยการสถานการณ์ และมอบหมายให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนากยรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ต้องเจอกับคำถามที่ว่า "แล้วที่ก่อนหน้านี้ล่าช้าเพราะอะไร?" ท่ามกลางความเดือดร้อนและไม่พอใจของประชาชน
“รัฐบาลไม่ช้า คนทำงานไม่ได้ช้า ตอนนี้ทุกอย่างที่มีอยู่ระดมลงไปอย่างเต็มที่ งบประมาณ ทรัพยากร” อนุทิน ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล
ขณะที่ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกประจำศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย ได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวหลังการแถลงข่าว ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าจนถึงวันนี้เหตุใดรัฐบาล จึงไม่ยอมรับว่าบริหารสถานการณ์น้ำท่วมล่าช้า ทั้งที่ประชาชนสะท้อนว่ามีความล่าช้า โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังคงยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ช้า เพราะเราทำทั้งในพื้นที่และออนไลน์ ยกตัวอย่างพื้นที่จังหวัดสตูลวานนี้ ที่มีการแจ้งเตือนให้ประชาชนอพยพ แต่ได้รับ Feedback จากประชาชน คือไม่ยอมอพยพ แบบนี้เรียกว่ารัฐบาลช้าหรือไม่?
“แจ้งว่าอพยพ แต่เขาไม่อพยพ...เรายืนยันว่าเราไม่ได้ช้าเลย...น้ำมันมาเร็วมาก ทุกคนก็คาดไม่ถึง” สิริพงศ์ กล่าว
วันต่อมา 27 พฤศจิกายน 2568 ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศป.ฉก.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมสำหรับการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ โดยมีเนื้อหาช่วงหนึ่งที่ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงกรณีการบริหารสถานการณ์น้ำท่วมว่า วันนี้อย่าไปโทษใครเลย หน้าที่หลักของรัฐบาลในขณะนี้ รวมถึงทุกศูนย์ทั้งส่วนหน้าและส่วนหลัง มีหน้าที่ในการช่วยเหลือประชาชน ส่วนความผิดพลาดและบทเรียนจะเป็นอย่างไร หลังจากเกิดเหตุเรียบร้อย เราจะมาศึกษาบทเรียนและสิ่งที่จะเป็นบทเรียนต่อไปในอนาคต เพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ทุกฝ่าย ทั้งประชาชน รัฐบาล และฝ่ายปฏิบัติ จะมีบทเรียนไปพร้อมกัน
“อย่าไปโทษใครเลย...ความผิดพลาดและบทเรียนจะเป็นอย่างไร หลังจากเกิดเหตุเรียบร้อย...เพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ทุกฝ่าย ทั้งประชาชน รัฐบาล และฝ่ายปฏิบัติ จะมีบทเรียนไปพร้อมกัน” ภราดร กล่าว
ในวันเดียวกันนั้นเอง สิริพงศ์ ยอมรับในรายการเปิดโต๊ะข่าวของพีพีทีวี หลังถูกถามว่า "จริงๆ การพยากรณ์อากาศ สามารถรู้ได้ว่าจะมีฝนตกหนัก ก่อนน้ำจะสูง 2 เมตร ทำไมรัฐบาลไม่รู้?"
“เรียนตรง ๆ ว่านายกฯไม่ได้รับรายงานว่ามวลนั้นจะมาเยอะขนาดนี้ ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาด ของฝ่ายที่ติดตามข้อมูล ซึ่งต้องมีคนรับผิดชอบแน่นอน แต่ตอนนี้ยังอยากให้ โฟกัสการช่วยชีวิตคนก่อน” สิริพงศ์ กล่าว