svasdssvasds

สตีเวน คิง เขียนนิยายหลายเล่ม แต่ทำไม IT ถึงกลายเป็นตำนาน?

สตีเวน คิง เขียนนิยายหลายเล่ม แต่ทำไม IT  ถึงกลายเป็นตำนาน?

ทำไม IT ของสตีเวน คิงจึงไม่ใช่แค่นิยายสยอง แต่เป็นงานมหากาพย์ที่ผสานความกลัววัยเด็ก มิตรภาพขี้แพ้ และด้านมืดสังคมอเมริกันได้อย่างทรงพลัง

SHORT CUT

  • T ใช้โครงสร้าง “อดีต vs ปัจจุบัน” ที่สลับไปมาระหว่างปี 1958 กับ 1985 ทำให้เรื่องราวมีทั้งความลึกทางเวลาและมิติควาทรงจำ คิงยังใส่ประวัติศาสตร์เมืองเดอร์รี่ย้อนหลังหลายร้อยปี ทำให้นิยายเรื่องนี้มีความเป็น “มหากาพย์ความสยองขวัญ” มากกว่างานอื่นๆ ของเขา
  • เพนนีไวส์ไม่ใช่แค่ปีศาจ แต่เป็นตัวแทนของ “ความกลัวลึกสุดในวัยเด็ก” ทั้งความกลัวเหนือธรรมชาติ และความกลัวจากชีวิตจริง เช่น ความรุนแรงในครอบครัวหรือการถูกเหยียด ขณะเดียวกัน Losers Club ก็เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องมิตรภาพจริงใจและการลุกขึ้นสู้ร่วมกันของเด็กๆ ทำให้ผู้อ่านผูกพันกับพวกเขาราวกับอยู่ในแก๊งด้วย
  • คิงใช้เมืองเดอร์รี่เป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรง ความหวาดกลัว และความบิดเบี้ยวที่ซ่อนอยู่ในอเมริกา ตั้งแต่ยุคสงครามเย็นยันยุค 80s ตั้งแต่การเหยียดผิว การกลั่นแกล้ง ไปจนถึงอาชญากรรมจากความเกลียดชัง ทำให้ IT ไม่ใช่แค่นิยายสยอง แต่เป็นบทวิพากษ์สังคมที่คมคายและร่วมสมัยเสมอ

ทำไม IT ของสตีเวน คิงจึงไม่ใช่แค่นิยายสยอง แต่เป็นงานมหากาพย์ที่ผสานความกลัววัยเด็ก มิตรภาพขี้แพ้ และด้านมืดสังคมอเมริกันได้อย่างทรงพลัง

ช่วงนี้ไม่ได้มีแค่ Stranger Things ที่น่าติดตามอย่างเดียว ในอีกฝั่งก็มี “IT: Welcome to Derry” จาก HBO Max ที่กำลังถูกพูดถึงไม่น้อย ซีรีส์ภาคต้นของ IT เรื่องนี้จะพาเราย้อนกลับไปสำรวจเมืองแดร์รีและติดตามกลุ่มเด็กที่ต้องเผชิญพลังลี้ลับบางอย่างไม่ต่างจากบรรยากาศของ Stranger Things มากนัก ทำให้ปลายปีนี้เป็นอีกช่วงที่คนดูมีซีรีส์แนวเด็กวัยรุ่น ต่อสู้กับสิ่งลึกลับให้เลือกดูกันถึง 2 เรื่อง

IT: Welcome to Derry ดัดแปลงมาจากนิยายสยองขวัญชื่อดังของสตีเวน คิง เรื่อง IT ซึ่งเคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สองภาคในปี 2017 และ 2019 แต่ฉบับซีรีส์จะพาเราเจาะลึกกว่าเดิม โดยขยายเรื่องราวและรายละเอียดที่หนังยังไม่เคยเล่า ซึ่งหากใครคุ้นกับผลงานของสตีเวน คิงอยู่แล้ว ก็รู้ดีว่า IT ถือเป็นหนึ่งในงานระดับตำนานที่ทรงอิทธิพลที่สุดของเขา และการถูกตีความใหม่ในรูปแบบซีรีส์ยิ่งทำให้น่าติดตามขึ้นไปอีกขั้น..

IT: Welcome to Derry”  HBO Max

เล่าเรื่องแบบอดีต VS ปัจจุบัน

สตีเวน คิง เขียนนิยายมามากมาย แต่ไม่มีเรื่องไหนจะทะเยอทะยานเท่ากับเรื่อง IT อีกแล้ว

จุดเด่นแรกที่เห็นได้ชัดคือโครงสร้างการเล่าเรื่องของ It ที่สลับไปมาระหว่างสองช่วงเวลาห่างกันเกือบสามสิบปี คิงเล่าเรื่องของกลุ่มเด็กๆ ในปี ค.ศ.1958 ควบคู่ไปกับเรื่องราวของตัวละครชุดเดียวกันเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในปี ค.ศ.1985 โดยเนื้อเรื่องจะตัดสลับอดีตกับปัจจุบันตลอด ทั้งสองเส้นเวลาค่อยๆ ดำเนินไปขนานกัน จนมาบรรจบในการเผชิญหน้ากับ “มัน” (It) ครั้งสุดท้ายทั้งในฉากอดีตและปัจจุบันพร้อมๆ กัน

การเล่าเรื่องแบบข้ามวัยนี้เปิดโอกาสให้ It เล่นกับธีม “อดีต vs. ปัจจุบัน” อย่างเต็มที่ เราได้เห็นว่าประสบการณ์น่ากลัวในวัยเด็กส่งผลยังไงเมื่อตัวละครโตขึ้น และยังสะท้อนด้วยว่าความทรงจำวัยเด็กหลายอย่างอาจเลือนหายไปเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ (ในเรื่องตัวละครผู้ใหญ่หลายคนจำเหตุการณ์ตอนเด็กไม่ได้เลยจนกระทั่งกลับมาเจอเหตุสยองอีกครั้ง) นอกจากนี้คิงยังสอดแทรกบทเกร็ดประวัติศาสตร์ของเมืองเดอร์รี (Derry) ย้อนหลังไปถึงสมัยศตวรรษที่ 18 เข้ามาระหว่างเรื่องหลักด้วย ทำให้คนอ่านได้รู้ว่าเจ้าปีศาจ It นั้นแฝงตัวกินเด็กมาเป็นร้อยๆ ปีแล้วในเมืองแห่งนี้ นิยายเรื่องนี้เลยมีมิติของเวลากว้างขวางกว่านิยายสยองขวัญทั่วไปของคิง ที่มักจะเล่าเรื่องเป็นเส้นตรงธรรมดา การเล่าแบบ It จึงทั้งแปลกใหม่และทะเยอทะยาน เป็นการสร้างมหากาพย์ความสยองในรูปแบบที่แฟนๆ ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก

IT: Welcome to Derry”  HBO Max

เพนนีไวส์: ตัวแทนความกลัวในวัยเด็ก

เมื่อพูดถึง It จะไม่พูดถึงเจ้าตัวตลกปีศาจ เพนนีไวส์ ก็คงไม่ได้ นี่คือหนึ่งในตัวร้ายที่หลอนและจดจำได้มากที่สุดที่คิงเคยสร้างมา เพนนีไวส์ในคราบตัวตลกหน้าขาวชุดสดใสเหมือนจะเป็นมิตร แต่แท้จริงคือร่างอวตารของปีศาจ It ที่ล่อเด็กไปกินอย่างโหดเหี้ยม ความน่ากลัวของมันอยู่ที่ความ “ขัดแย้ง” ระหว่างภาพลักษณ์ที่ควรทำให้เด็กหัวเราะ กับความโหดเหี้ยมที่แฝงอยู่ข้างใน ส่งผลให้หลายคนกลัวตัวตลกไปอีกนานหลังจากอ่านจบ

แต่ความหลอนของ It ไม่ได้หยุดอยู่ที่รูปร่างภายนอกหรือมอนสเตอร์ที่มันแปลงร่างเป็นเท่านั้น จุดแข็งจริงๆ คือการที่คิงใช้ It เป็น “กระจกสะท้อนความกลัวลึกสุดของเด็กๆ” ในแบบที่ทั้งเหนือธรรมชาติและจริงเจ็บปวด ยกตัวอย่าง เบเวอร์ลี มาร์ช สมาชิกหญิงเพียงคนเดียวของกลุ่ม ที่ต้องโตมาในครอบครัวรุนแรงและเสี่ยงต่อการล่วงละเมิดทางเพศ ความหวาดกลัวการเติบโตเป็นสาวและความไม่ปลอดภัยในบ้าน กลายเป็นฝันร้ายที่ It นำมาทำให้เป็นรูปธรรมผ่านภาพเลือดพุ่งทะลักจากอ่างล้างหน้า และพ่อที่ถูก It ครอบงำจนเกือบทำร้ายเธอ

ในขณะที่เด็กผู้ชายกลัวสัตว์ประหลาดตามหนังสยองที่พวกเขาดู เด็กผู้หญิงอย่างเบเวอร์ลีกลับต้องเผชิญ “ความกลัวจากชีวิตจริง” ที่สะเทือนใจยิ่งกว่า ความแตกต่างนี้ทำให้เห็นว่า It ไม่ได้แค่หยิบมอนสเตอร์มาไล่หลอก แต่เข้าไปแตะหัวใจของ “ความหวาดผวาในวัยเด็ก” ในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ความกลัวเหนือธรรมชาติไปจนถึงบาดแผลจริงในครอบครัวและสังคม ทำให้ความสยองของ It ลึกและหนักกว่านิยายสยองขวัญทั่วๆ ไปอย่างชัดเจน

IT: Welcome to Derry”  HBO Max

Losers Club  มิตรภาพในวัยเยาว์

อีกเสน่ห์ใหญ่ของ It คือเรื่องราวของกลุ่มเด็กที่เรียกตัวเองว่า Losers Club เด็กนอกคอกเจ็ดคนที่ต่างมีปมชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นบิลล์เด็กพูดติดอ่างที่สูญเสียน้องชาย, เบนที่โดนแกล้งเพราะอ้วน, เอ็ดดี้เด็กขี้โรค, ริชชี่จอมเล่นมุก, ไมค์ที่โดนเหยียดเพราะเป็นคนผิวสี และเบเวอร์ลีที่ต้องเผชิญความรุนแรงในครอบครัว พวกเขามารวมกันเพราะต่างถูกแก๊งนักเลงของเฮนรี โบเวอร์สรังควานเหมือนกัน ความเป็น “คนนอก” นี้เองที่ทำให้เด็กทั้งเจ็ดกลายเป็นเพื่อนซี้แน่นแฟ้น และกลายเป็นพลังสำคัญในการลุกขึ้นสู้กับ It ที่เหนือกว่าพวกเขาทุกด้าน

มิตรภาพของแก๊งนี้ถูกเล่าออกมาอย่างอบอุ่นและจริงใจจนเป็นหัวใจของเรื่อง เด็กๆ ต้องเผชิญทั้งอำนาจมืดเหนือธรรมชาติและความโหดร้ายจากมนุษย์ธรรมดา การยืนหยัดอยู่ข้างกันจนถึงขั้น “สาบานด้วยเลือด” ว่าจะกลับมาช่วยกันอีกถ้า It ฟื้นคืน ทำให้เห็นชัดว่า ความสามัคคีของพวกเขานี่แหละ คืออาวุธที่ปีศาจตัวไหนก็สู้ไม่ได้

คิงตั้งใจให้เด็กกลุ่มนี้เป็นเหมือน “เด็กในอุดมคติ” ของเขา คือ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ และมีน้ำใจต่อกันจนผู้ใหญ่อาย แม้จะดูเพ้อฝัน แต่กลับทำให้ผู้อ่านอินมากขึ้น เพราะใครๆ ก็อยากมีเพื่อนแบบนี้ หรืออยากเป็นเด็กที่ลุกขึ้นสู้เพื่อเพื่อนได้แบบพวกเขา ผลลัพธ์คือผู้อ่านจำนวนมากรู้สึกผูกพันกับแก๊ง Losers ราวกับเป็นสมาชิกกลุ่มหนึ่งด้วย

IT: Welcome to Derry”  HBO Max

สะท้อนด้านมืดสังคมอเมริกัน

แม้ It จะเป็นนิยายเหนือธรรมชาติ แต่คิงใช้เมืองสมมติอย่าง เดอร์รี่ (Derry) เป็นฉากสะท้อนด้านมืดของสังคมอเมริกันได้ชัดเจนอย่างน่าทึ่ง เหตุการณ์ในปี 1958 ถูกวางทับลงบนยุคสงครามเย็นช่วงเวลาที่อเมริกาภายนอกดูเหมือน “ยุคทอง” แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่ว่าจะเป็นความกังวลเรื่องระเบิดปรมาณู โรคโปลิโอ การเหยียดผิว การกลั่นแกล้งในโรงเรียน หรือความตึงเครียดเรื่องสิทธิผู้หญิง คิงดึงบรรยากาศหวาดระแวงของยุคนั้นมาเป็นฉากหลังของเหตุการณ์สยอง ทำให้คนอ่านเห็นว่า “ความกลัว” ในเรื่องไม่ได้มาจากปีศาจเท่านั้น แต่มาจากสังคมจริงที่ขมขื่นไม่แพ้กัน

เมื่อเรื่องขยับมาสู่ปี 1985 เราก็ได้เห็นด้านมืดของยุค 80s เช่นเหตุฆาตกรรมจากความเกลียดชังต่อชายรักร่วมเพศที่เปิดเรื่องอย่างโหดเหี้ยม คิงนำปัญหาเหล่านี้มาผ่านการ “กรอง” ของเพนนีไวส์และเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ จนผู้อ่านสามารถมองเห็นรากเหง้าของความรุนแรงและความกลัวในอเมริกาได้ชัดเจนขึ้น

สตีเวน คิง เขียนนิยายหลายเล่ม แต่ทำไม IT  ถึงกลายเป็นตำนาน?

นิยาย IT ของ Stephen King จึงโดดเด่นกว่างานอื่น ๆ ของเขาเพราะผสมผสานหลายองค์ประกอบได้อย่างลงตัว ทั้งโครงสร้างการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ ธีมลึกซึ้งเรื่องความกลัววัยเด็ก มิตรภาพวัยเยาว์ที่ซาบซึ้งใจ ตัวร้าย Pennywise ที่ทั้งสยองและมีเอกลักษณ์ และการใช้เรื่องสยองเป็นกระจกสะท้อนปัญหาสังคม ทั้งหมดนี้ทำให้ IT เป็นมากกว่านิยายสยองขวัญทั่วไป – มันเป็นทั้งเรื่องราวการเติบโตของเด็ก ๆ บทเรียนชีวิตเกี่ยวกับความทรงจำและการเผชิญหน้าความกลัว รวมถึงบทวิพากษ์สังคมที่คมคาย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related