
SHORT CUT
การกู้ยืมมีมาตั้งแต่ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล เริ่มจากการยืมเมล็ดพืชในเมโสโปเตเมีย มีการคิดดอกเบี้ยและมีกฎหมายควบคุม แม้กระทั่งใช้คนในครอบครัวเป็นหลักประกัน
แนวคิดต่อดอกเบี้ยเปลี่ยนไปตามยุคสมัย จากเดิมที่ศาสนาและนักปรัชญามองว่าการคิดดอกเบี้ยเป็นเรื่องผิดศีลธรรม สู่ยุคใหม่ที่ดอกเบี้ยกลายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และธนาคารเริ่มเกิดขึ้นจริงจังในยุโรป–อเมริกา
เครดิตสกอร์และเทคโนโลยีคือจุดเปลี่ยนสำคัญในโลกปัจจุบัน การปล่อยกู้สมัยใหม่พึ่งพาคะแนนเครดิต บัตรเครดิต และข้อมูลดิจิทัล พร้อมถูกพลิกโฉมด้วยฟินเทคที่ทำให้การกู้ยืมเข้าถึงง่ายและโปร่งใสมากขึ้น
เมื่อมนุษย์ยืมเงินกันมาตั้งแต่ 3000 ปีก่อนคริสตกาล: ประวัติศาสตร์หนี้ ดอกเบี้ย และระบบเครดิตที่เปลี่ยนหน้าตาเศรษฐกิจโลก
เราเคยสงสัยไหมว่า มนุษย์เริ่ม “ยืมเงิน” กันตั้งแต่เมื่อไหร่?
ก่อนจะมีธนาคาร บัตรเครดิต หรือแม้แต่คำว่า “ดอกเบี้ย” มนุษย์ในอดีตจัดการกับความจำเป็นเฉพาะหน้าอย่างไร ในวันที่ต้องการทรัพยากรมากกว่าที่มีในมือ? ยืมจากใคร? ใช้อะไรเป็นหลักประกัน? และสังคมยุคโบราณมีกฎเกณฑ์ควบคุมเรื่องนี้อย่างไรบ้าง ในบทความนี้เรามาย้อนดูในอดีตกัน
ต้นกำเนิดของการให้กู้ยืมย้อนกลับไปถึงอารยธรรมเมโสโปเตเมีย บริเวณตะวันออกกลางยุคโบราณ ชาวซูเมเรียน ชาวบาบิโลน ชาวอัสซีเรีย ใช้วิธี “ยืมเมล็ดพืช” แล้วชำระคืนด้วยผลผลิตในฤดูเก็บเกี่ยว แทนที่จะใช้เงินตราเหมือนปัจจุบัน หลักฐานสำคัญอย่าง “กฎหมายฮัมมูราบี” ระบุชัดว่ามีการคิดดอกเบี้ยทั้งในรูปของธัญพืชและเงิน มีเพดานดอกเบี้ยสูงสุดถึงปีละ 33%
น่าสนใจที่กฎหมายยังระบุว่า หากปีนั้นพืชเสียหายเพราะภัยธรรมชาติ ชาวนาไม่จำเป็นต้องชำระหนี้ ถือเป็นการ “ล้างหนี้ตามสภาพ” แบบที่ธนาคารสมัยใหม่คงไม่ทำให้เราแน่นอน
แม้จะไม่มีเทคโนโลยีตรวจสอบเครดิตเหมือนปัจจุบัน แต่ชาวบาบิโลเนียมีระบบประกันหนี้ที่รุนแรง เช่น หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระเงินได้ ก็สามารถเอาตนเองหรือสมาชิกในครอบครัวไปเป็นแรงงานชดใช้หนี้ได้สามปี แล้วจึงได้รับอิสรภาพคืน นี่ถือเป็นรูปแบบแรก ๆ ของ “หลักประกัน” แม้จะป่าเถื่อนในมุมมองยุคปัจจุบัน แต่เป็นเรื่องปกติในยุคนั้น
เมื่อขยับมาแถบเมดิเตอร์เรเนียน สังคมกรีกโบราณมองว่าการคิดดอกเบี้ยเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เพราะผู้ให้กู้เสี่ยงเงินทุนของตนและควรได้รับผลตอบแทน ดอกเบี้ยโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 12–18% ซึ่งต่ำกว่าบาบิโลเนียมาก แต่ยังคงสะท้อนเศรษฐกิจยุคนั้น
แม้สังคมกรีกจะยอมรับดอกเบี้ย แต่ปราชญ์หลายคนยังตั้งคำถามด้านศีลธรรม เพลโตมองว่าการปล่อยกู้ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และเป็นจุดเริ่มของความไร้เสถียรภาพทางสังคม ส่วนอริสโตเติลถือว่าการกินดอกเบี้ยเป็น “วิธีทำเงินที่ขัดต่อธรรมชาติ” เพราะเงินไม่ควรถูกใช้เพื่อทำเงินเพิ่มโดยตรง แนวคิดเหล่านี้กลายเป็นรากฐานสำคัญที่โลกตะวันตกจะหยิบไปใช้ในยุคศาสนาครอบงำสังคมต่อมา
ศาสนามีบทบาทสูงมากในยุคกลาง ทั้งคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์กุรอ่าน และโตราห์ ต่างประณาม “ดอกเบี้ย” โดยเฉพาะการคิดดอกเบี้ยกับผู้ยากจน ทำให้แนวคิดเรื่อง “การกู้ยืมแบบมีดอกเบี้ย” กลายเป็นประเด็นขัดแย้ง แม้เศรษฐกิจจะต้องการเงินทุนหมุนเวียน แต่ศาสนจักรก็เป็นกำแพงสำคัญต่อการเกิดธนาคารสมัยใหม่
แม้จะเริ่มมี “สาขาธนาคาร” ในอังกฤษช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่ในยุคก่อนหน้า ผู้คนยังพึ่งพาพ่อค้าและผู้ให้กู้ส่วนบุคคล เพราะธนาคารเป็นเสมือนที่พึ่งสุดท้าย ไม่ใช่สถานที่ที่คนทั่วไปจะไปขอกู้
สหรัฐอเมริกาเริ่มมีธนาคารแห่งแรกในปี 1791 แต่สิ่งที่ผลักดันวัฒนธรรมการกู้ยืมจริง ๆ คือ Philadelphia Savings Fund Society ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยแรงงานและผู้อพยพให้มีโอกาสสร้างฐานะผ่านการออมและสินเชื่อที่อยู่อาศัย
ในบางรัฐอย่างเวอร์จิเนียหรือเคนทักกี รัฐบาลถึงขั้นเข้าไปถือหุ้นในธนาคาร และใช้ธนาคารเป็นเครื่องมือสนับสนุนโครงการของรัฐ ทำให้ธนาคารกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจอเมริกันยุคใหม่
บัตรเครดิตใบแรกของโลกเกิดขึ้นในปี 1920 โดยร้านค้าต่าง ๆ ออกให้ลูกค้าประจำใช้งาน เฉพาะในร้านของตัวเอง ก่อนจะมีบัตรเครดิต “ใช้ได้ทุกที่” ในปี 1950 โดย Diners Club และพัฒนาเป็น Visa, Mastercard ในทศวรรษ 1970
แต่สิ่งที่เปลี่ยนโลกการกู้ยืมอย่างแท้จริงคือ “ระบบเครดิตสกอร์” ก่อนยุคดิจิทัล การปล่อยกู้อาศัยชื่อเสียงและการบอกเล่าปากต่อปาก ซึ่งเต็มไปด้วยอคติและความไม่เสมอภาค จนทำให้เกิดการเก็บข้อมูลแบบก้าวล่วง
ทุกวันนี้ ระบบกู้ยืมกำลังถูกท้าทายโดยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตั้งแต่แอปเงินกู้ดิจิทัล ไปจนถึงแพลตฟอร์มวิเคราะห์เครดิตด้วย AI ธนาคารและผู้ให้กู้ต้องปรับตัวให้ทันความคาดหวังของผู้บริโภค ซึ่งต้องการบริการที่โปร่งใส เข้าถึงง่าย และเหมาะกับบริบทชีวิตของแต่ละคน
หากมองภาพรวมตั้งแต่อดีตจนถึงวันนี้ เราจะเห็นว่าการกู้ยืมเงินไม่เคยหยุดพัฒนามาจากเมล็ดพืชในเมโสโปเตเมีย สู่คะแนนเครดิตดิจิทัล ยุคต่อไปของการปล่อยกู้ก็จะยังคงเปลี่ยนแปลงต่อไป
ที่มา : koho
ข่าวที่เกี่ยวข้อง