svasdssvasds

เมื่อโบราณสถานถูกใช้เป็นฐานทัพ สงครามจึงคุกคามมรดกโลก

เมื่อโบราณสถานถูกใช้เป็นฐานทัพ สงครามจึงคุกคามมรดกโลก

กัมพูชา–ไทยในปี 2568 ไม่ใช่กรณีแรก: ประวัติศาสตร์พิสูจน์ว่าเมื่อโบราณสถานถูกใช้ในปฏิบัติการทางทหาร ความเสียหายย่อมยากจะหลีกเลี่ยง

SHORT CUT

  • กรณีกัมพูชาใช้ปราสาทตาควายและเขาพระวิหารเป็นฐานทัพ แม้สร้างความตึงเครียด แต่เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วหลายครั้งในประวัติศาสตร์ เช่น พัลไมรา ดูบรอฟนิก และบาห์ลเบก ซึ่งล้วนทำให้โบราณสถานเสียหายอย่างหนัก
  • อนุสัญญากรุงเฮก 1954 กำหนดชัดว่าไม่ควรใช้ทรัพย์สินวัฒนธรรมเพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร เพราะจะทำให้ตกเป็นเป้าการโจมตีและสูญเสียคุณค่าทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ
  • เมื่อกัมพูชานำโบราณสถานไปใช้เป็นฐานที่มั่น ทำให้สถานที่นั้นสูญเสียความคุ้มครอง ไทยจึงสามารถใช้ข้อยกเว้นตามมาตรา 4 วรรค 1 ดำเนินการตอบโต้ที่จำเป็นทางทหารได้อย่างชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ.

กัมพูชา–ไทยในปี 2568 ไม่ใช่กรณีแรก: ประวัติศาสตร์พิสูจน์ว่าเมื่อโบราณสถานถูกใช้ในปฏิบัติการทางทหาร ความเสียหายย่อมยากจะหลีกเลี่ยง

การที่กัมพูชานำปราสาทตาควายและปราสาทเขาพระวิหารมาใช้เป็นฐานทัพทางทหาร กลายเป็นประเด็นร้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง โบราณสถานที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมระดับโลกไม่ควรถูกดึงเข้าไปอยู่ในปฏิบัติการทางทหาร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทว่าหากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์สงคราม จะพบว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์แรก กองกำลังหลากหลายฝ่ายทั่วโลกเคยใช้โบราณสถานเป็นที่มั่นยุทธศาสตร์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และผลลัพธ์ล้วนสร้างความเสียหายต่อมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติอย่างยากจะประเมินค่า

เหตุการณ์ที่โบราณสถานกลายเป็นความขัดแย้ง 

ในสงครามซีเรีย ตัวอย่างชัดเจนปรากฏเมื่อกลุ่มกบฏและกองกำลัง ISIS ใช้เมืองโบราณพัลไมรา (Palmyra) เป็นฐานที่มั่น ขณะที่กองทัพรัฐบาลซีเรียก็เข้ายึดปราสาทครัคเดอเชวัลเย (Krak des Chevaliers) ซึ่งเป็นมรดกโลก เพื่อใช้เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการสู้รบ ส่งผลให้โบราณสถานทั้งสองตกเป็นเป้าการโจมตีหลายครั้ง จนยูเนสโกต้องออกมาเตือนว่าเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนและทำลายอัตลักษณ์วัฒนธรรมของซีเรีย โดยอ้างถึงข้อกำหนดสำคัญในอนุสัญญากรุงเฮก 1954 ที่กำหนดให้ทุกฝ่าย “งดเว้นการใช้ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมเพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร” เพราะย่อมทำให้สถานที่เหล่านั้นถูกโจมตีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

PHOTO Arian Zwegers

กรณีในยุโรปตะวันออกก็ไม่ต่างกัน ช่วงสงครามยูโกสลาเวียปี 1991 เมืองเก่าดูบรอฟนิก (Dubrovnik Old Town) ซึ่งเป็นมรดกโลก ถูกกองทัพยูโกสลาเวียปิดล้อมและโจมตีด้วยปืนใหญ่หลายวัน แม้จะไม่ได้ถูกใช้เป็นฐานทหาร แต่การที่เมืองเก่ามีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ทำให้ตกเป็นเป้าโจมตีจนได้รับความเสียหายหนัก หลังสงคราม ผู้กระทำผิดถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศโดยศาล ICTY ซึ่งเป็นครั้งแรกที่การทำลายมรดกทางวัฒนธรรมถูกใช้เป็นข้อหาระดับสากล สะท้อนว่าชุมชนโลกให้ความสำคัญต่อการปกป้องโบราณสถานในยามสงครามเพียงใด

เมื่อโบราณสถานถูกใช้เป็นฐานทัพ สงครามจึงคุกคามมรดกโลก

สถานการณ์ในเลบานอนก็เป็นอีกตัวอย่างสำคัญ เมืองโรมันโบราณ “บาห์ลเบก (Baalbek)” แม้เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมโรมันที่งดงามที่สุด แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและเฮซบอลเลาะห์ในปี 2024 การโจมตีทางอากาศทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนและความเสียหายต่อวิหารโบราณ ประชาชนจำนวนมากต้องหลบภัยอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง หวังว่าสถานะมรดกโลกจะช่วยคุ้มกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงพื้นที่รอบวิหารยังเป็นจุดเสี่ยงทางทหาร ยูเนสโกจึงต้องจัดประชุมฉุกเฉินและเตรียมยกระดับให้บาห์ลเบกอยู่ในสถานะ “ได้รับการคุ้มครองระดับสูง” เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกใช้เป็นฐานทัพหรือเป้าทิ้งระเบิดในอนาคต

เมื่อโบราณสถานถูกใช้เป็นฐานทัพ สงครามจึงคุกคามมรดกโลก

เมื่อหันกลับมาดูสถานการณ์ไทย กัมพูชาในปี 2568 จึงเห็นได้ชัดว่ากรณีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ของโลก การที่กัมพูชาใช้ปราสาทตาควายและปราสาทเขาพระวิหา ซึ่งเป็นโบราณสถานระดับนานาชาติ เป็นที่ตั้งกำลัง ทำให้สถานที่เหล่านี้สูญเสียความคุ้มครองตามกฎหมายวัฒนธรรมระหว่างประเทศและกลายเป็น “วัตถุทางทหาร” ไปโดยปริยาย ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ประเทศไทยจึงสามารถใช้ข้อยกเว้นตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ.1954 มาตรา 4 วรรค 1 ซึ่งระบุว่า หากทรัพย์สินทางวัฒนธรรมถูกฝ่ายหนึ่งใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร อีกฝ่ายย่อมสามารถดำเนินมาตรการตอบโต้ที่ “จำเป็นทางทหารอย่างยิ่ง” ได้ โดยไม่ถือเป็นการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ เพราะความรับผิดชอบตกอยู่ที่ฝ่ายที่นำโบราณสถานไปใช้เพื่อการทหารก่อน

เมื่อโบราณสถานถูกใช้เป็นฐานทัพ สงครามจึงคุกคามมรดกโลก

ทั้งหมดนี้สะท้อนภาพรวมที่สำคัญ ทุกครั้งที่โบราณสถานถูกใช้เป็นฐานทัพ ไม่ว่าที่ใดในโลก ผลลัพธ์ที่ตามมามักเหมือนกันคือความเสี่ยงต่อการสูญเสียมรดกของมนุษยชาติ และทำให้กลไกคุ้มครองของกฎหมายระหว่างประเทศต้องเผชิญความท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า.

ที่มา : aljazeeradumus / unesco  

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related