svasdssvasds

มติรัฐสภา เคาะมีกลไกทำรัฐธรรมนูญ ที่มาจากรัฐสภาคัดเลือก

มติรัฐสภา เคาะมีกลไกทำรัฐธรรมนูญ ที่มาจากรัฐสภาคัดเลือก

ที่ประชุมรัฐสภาเสียงข้างมากเห็นด้วยให้มี กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ที่รัฐสภาคัดเลือกจากบัญชีรายชื่อของผู้สมัครได้รับเลือก ด้วยเสียง 328 ต่อ 266 งดออกเสียง 21 ไม่ลงคะแนน 3

SHORT CUT

  • รัฐสภามีมติเห็นชอบให้มีกลไกจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้มีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ที่มาจากการคัดเลือกของสมาชิกรัฐสภา
  • การคัดเลือก กมธ. จะใช้สูตร "20 หยิบ 1" ซึ่งให้สมาชิกรัฐสภาจัดกลุ่ม กลุ่มละ 20 คน เพื่อเสนอชื่อผู้สมัครได้คณะละ 1 คน
  • ผู้ที่จะเป็น กมธ. ต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติที่เข้มงวด และห้ามผู้ที่มีมลทินทางการเมืองหรือเป็นข้าราชการประจำเข้าร่วม
  • การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีข้อกำหนดสำคัญคือห้ามแก้ไขเนื้อหาในหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์

ที่ประชุมรัฐสภาเสียงข้างมากเห็นด้วยให้มี กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ที่รัฐสภาคัดเลือกจากบัญชีรายชื่อของผู้สมัครได้รับเลือก ด้วยเสียง 328 ต่อ 266 งดออกเสียง 21 ไม่ลงคะแนน 3

ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้มีการพิจารณาลงมติในวาระที่สองรายมาตรา สำหรับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ประเด็นที่ถูกจับตามากที่สุดคือการลงมติใน มาตรา 256/1 ซึ่งเป็นบทบัญญัติสำคัญในการกำหนด "ที่มา" ขององค์กรผู้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่

ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้กำหนดให้มี 2 กลไกหลักในการขับเคลื่อน

  1. คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน มาจากการเลือกของสมาชิกรัฐสภา ทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 360 วัน
  2. กมธ.รับฟังความคิดเห็นและการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน ทำหน้าที่รับฟัง รวบรวมความคิดเห็นของประชาชน และเสนอต่อ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงเปิดเผยความคืบหน้าให้ประชาชนรับทราบ

ตรวจคุณสมบัติเข้ม ห้ามผู้ที่มีมีมลทินเข้าร่วม

กมธ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ของผู้สมัครเป็น กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ และ กมธ.รับฟังความคิดเห็นไว้เหมือนกันอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการเพิ่มเติมข้อห้ามสำหรับบุคคลที่

  • อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ไม่ว่าคดีจะถึงที่สุดหรือไม่)
  • อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
  • เป็นข้าราชการที่มีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ, พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น

นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดคุณสมบัติเฉพาะ สำหรับผู้สมัครเป็น กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ เช่น ผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์/ผู้วิจัยที่มีผลงานประจักษ์, เคยรับราชการตำแหน่งไม่ต่ำกว่าตุลาการศาลปกครองชั้นต้นไม่น้อยกว่า 3 ปี, ผู้ประกอบวิชาชีพที่มีกฎหมายรองรับไม่น้อยกว่า 5 ปี, หรือผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมหาชนจำกัดไม่น้อยกว่า 5 ปี

จุดสำคัญ ห้ามแตะหมวด 1-2

จุดสำคัญที่สุดที่ กมธ. เสียงข้างมากให้ความเห็นชอบ คือ การกำหนดกรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีข้อกำหนดให้ นำบทบัญญัติในหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาบัญญัติไว้โดยไม่ให้แก้ไข ซึ่งเป็นการขีดเส้นชัดเจนในการจำกัดขอบเขตการแก้ไข

กลไกเลือก กมธ.ทำรธน.

กระบวนการสรรหาและคัดเลือก กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ และ กมธ.รับฟังความคิดเห็น ถูกออกแบบให้มีกลไกการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบอย่างชัดเจน โดยใช้กลไกการสมัครผ่าน คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้สมัครต้องยื่นหลักฐานพร้อมวิสัยทัศน์ และมีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่สนับสนุน ไม่น้อยกว่า 100 คน พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร และผู้สนับสนุนด้วย

สูตรคัดเลือก "20 หยิบ 1" คืออะไร

การเลือก กมธ. ทั้งสองคณะ จะดำเนินการโดย รัฐสภา และกำหนดให้เสร็จสิ้นภายใน 60 วัน โดยใช้ "สูตร 20 หยิบ 1" คือ:

  • ให้สมาชิกรัฐสภาจัดกลุ่ม ๆ ละ 20 คน ตามหลักเกณฑ์ที่ประธานรัฐสภากำหนด
  • แต่ละกลุ่มมีสิทธิเสนอชื่อผู้เป็น กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ และ กมธ.รับฟังความคิดเห็น ได้คณะละ 1 คน จนครบจำนวน 35 คน
  • ผู้ที่ได้รับการเลือกเป็น กมธ. ทั้งสองคณะ ถูกกำหนดให้ ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง ภายใน 2 ปี นับจากวันที่พ้นตำแหน่ง

ภายหลังการพิจารณาวาระสอง ในวันที่ 10-11 ธันวาคม 2568 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้อง พักร่างไว้ไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนจะเข้าสู่การพิจารณา วาระสาม เพื่อให้ความเห็นชอบทั้งฉบับ ซึ่งต้องใช้เสียง

  • เกินกึ่งหนึ่ง ของรัฐสภา
  • มี สส.ฝ่ายค้านเห็นด้วยไม่น้อยกว่า 20%
  • มีเสียง สว. เห็นด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

เลขาธิการรัฐสภา ประเมินว่า หากวาระสองแล้วเสร็จภายในวันที่ 11 ธันวาคม จะครบกำหนด 15 วัน ในวันที่ 26-27 ธันวาคม และคาดว่าจะพิจารณาวาระ 3 ได้เร็วที่สุดในวันที่ 29 ธันวาคม 2568 หรืออาจเป็นช่วงหลังปีใหม่ วันที่ 5-6 มกราคม 2569 ขึ้นอยู่กับความพร้อมของสมาชิก หลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบในวาระ 3 แล้ว จะส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ดำเนินการจัดทำประชามติ ต่อไป

10 ขอบเขตการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 

นอกจากกลไกและคุณสมบัติของคณะผู้จัดทำแล้ว กมธ. เสียงข้างมาก ยังได้กำหนดขอบเขตการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้ครอบคลุม 10 ประเด็นสำคัญ เพื่อให้การร่างรัฐธรรมนูญเป็นไปตามเจตนารมณ์และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง 

โดยประเด็นหลักที่ต้องมีในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประกอบด้วย

  1. การรับรองความเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกันจะแบ่งแยกมิได้
  2. การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
  3. การคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสวัสดิการขั้นพื้นฐานของประชาชน
  4. การวางหลักให้ประชาชนยึดโยงกับสถาบันการเมือง และมีความเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์
  5. การวางกลไกตรวจสอบอำนาจรัฐ ขจัดทุจริต ประพฤติมิชอบ และจำกัดขอบเขตการใช้อำนาจรัฐ
  6. การสร้างเสริมความเข้มแข็งของหลักนิติธรรม
  7. การบริหารราชการแผ่นดินและนโยบายรัฐที่ยืดหยุ่น
  8. การกระจายอำนาจรัฐให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
  9. การวางหลักเกณฑ์การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
  10. การวางกลไกให้ประชาชนตรวจสอบถ่วงดุล

ขอบเขตดังกล่าวสะท้อนเจตนาที่ต้องการให้รัฐธรรมนูญใหม่มีความเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเน้นการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ขณะเดียวกันก็ตอกย้ำถึงการธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติและหลักนิติธรรม

ที่มา : thansettakij 

 

related