
SHORT CUT
ย้อนดู เหตุการณ์ปัญหาใหญ่ๆ ในรัฐบาลอนุทิน จนกลายเป็นวิกฤต - มีปัจจัยอะไรบ้าง ที่มีส่วนกดดันให้ต้องรัฐบาลยุบสภา
การประกาศยุบสภาของ อนุทิน ชาญวีรกูล เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่เป็นการปิดฉากรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่มีอายุเพียง 78 วัน (24 ก.ย. - 12 ธ.ค. 2568) แต่ยังส่งผลให้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอายุงานสั้นที่สุดเป็นอันดับ 4 ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย
แม้อายุของรัฐบาลจะสั้นกว่า 3 เดือน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวกลับเต็มไปด้วยความเข้มข้น รุนแรง และซับซ้อน นี่คือบทวิเคราะห์ถึง 4 ปัจจัยหลักที่เป็น "มรสุม" ถาโถมใส่รัฐนาวาสีน้ำเงิน จนนำไปสู่ทางตันทางการเมือง
ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลสั่นคลอนตั้งแต่วันแรกของการทำหน้าที่ เมื่อเกิดเหตุการณ์ถนนหน้าวชิรพยาบาล (สามเสน) ทรุดตัวเป็นหลุมลึกในวันเดียวกับที่คณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงถูกวิจารณ์ในแง่ของ "ลางบอกเหตุ" จนนำไปสู่ฉายา ‘รัฐบาลธรณีสูบ’ แต่ยังนำมาซึ่งการตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส เนื่องจากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ในจุดเกิดเหตุ มีความเชื่อมโยงกับบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ที่ผู้นำรัฐบาลเคยบริหาร
ซ้ำเติมด้วยวิกฤตการจัดการภัยพิบัติ เมื่อมหาอุทกภัยถาโถมใส่ 9 จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินมหาศาล รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความล่าช้าในการแจ้งเตือน การไร้ศูนย์กลางสั่งการที่ชัดเจน และมาตรการเยียวยาแบบเหมาจ่ายที่ถูกมองว่าไม่สะท้อนความเสียหายจริง
นอกจากนี้ การเป็นเจ้าภาพ ซีเกมส์ 2025 ยังกลายเป็นประเด็นที่สร้าง "เครื่องหมายคำถาม" ในระดับภูมิภาค ทั้งความไม่พร้อมของสนามแข่งขัน การประชาสัมพันธ์ที่ล้มเหลว จนคนไทยหลายคน ยังไม่ทราบเลยว่า ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ 2025 และข้อผิดพลาดทางเทคนิคระหว่างพิธีการ ในพิธีเปิด จนเป็นที่วิจารณ์ในโลกออนไลน์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาประสิทธิภาพในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างชัดเจน
ในขณะที่นโยบายเรือธงที่เคยหาเสียงไว้กลับสะดุดลง ไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ถูกเลื่อนออกไปโดยอ้างวินัยการเงินการคลัง หรือโครงการ คนละครึ่งพลัส เฟส 2 ที่ต้องชะงักจากข้อกฎหมาย
สิ่งที่สวนทางกันคือ การอนุมัติงบประมาณผูกพันระยะยาวกว่า 4,000 ล้านบาท สำหรับการจัดการแข่งขัน MotoGP (2570-2574) การตัดสินใจทิ้งทวนงบประมาณก้อนโตในขณะที่รัฐบาลมีสถานะเปราะบาง และการที่สนามแข่งขันมีความเชื่อมโยงกับแกนนำพรรคภูมิใจไทย ทำให้เกิดข้อครหาเรื่อง "ผลประโยชน์ทับซ้อน" (Conflict of Interest) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กลายเป็นประเด็นที่ฝ่ายค้านและภาคประชาสังคมจับตามองเป็นพิเศษ
ด้านความมั่นคง รัฐบาลเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ความตึงเครียดบริเวณ ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นมีการปะทะและเตรียมใช้กำลังทหาร ถูกนักวิเคราะห์มองว่าเป็นทั้งความจำเป็นทางยุทธวิธี และอาจเป็นความพยายามปลุกกระแส "ชาตินิยม" เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายในประเทศ
ในขณะเดียวกัน ความน่าเชื่อถือของผู้นำรัฐบาลก็ถูกท้าทายจากภาพถ่ายที่ปรากฏคู่กับนักธุรกิจที่มีส่วนพัวพันกับขบวนการ 'สแกมเมอร์' และธุรกิจสีเทาในประเทศเพื่อนบ้าน สิ่งนี้ขัดแย้งอย่างรุนแรงกับนโยบาย "วาระแห่งชาติ" ในการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลก โดยเฉพาะเมื่อเทียบท่าทีกับชาติตะวันตกที่ใช้มาตรการคว่ำบาตรกลุ่มธุรกิจเหล่านี้อย่างจริงจัง
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้รัฐบาลไปต่อไม่ได้ ไม่ใช่เพียงปัญหานอกสภา แต่คือทางตันในระบบรัฐสภา เมื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256/28 ถูกคว่ำลง โดยเฉพาะประเด็นอำนาจของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งที่ไม่อาจหาข้อยุติ
โดย รัฐบาลอนุทิน ต้องปิดฉากรัฐบาลเฉพาะกิจก่อนอายุ 4 เดือน กับเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา สู่ข้อถกเถียงในมาตรา 256/28 ว่าด้วยการมีเงื่อนไขใช้เสียง สว. 1 ใน 3 เพื่อเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ กลายเป็นจุดเปลี่ยนมาถึงการยุบสภา ได้อย่างไรเมื่อสาระสำคัญถูกตัดออกในชั้น กมธ. เกลี้ยงแทบทั้งหมด สิ่งที่ถูกตัดทิ้ง สสร. เลือกตั้งโดยตรง และสภาที่ปรึกษาจากประชาชน นำมาซึ่งจุดแตกหักในสภา
.
สถานการณ์บีบคั้นถึงขีดสุดเมื่อพรรคประชาชน (ฝ่ายค้าน) เตรียมยื่นญัตติ อภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 ซึ่งหากมีการอภิปรายเกิดขึ้น รัฐบาลจะไม่สามารถยุบสภาได้ นายอนุทิน จึงเลือกใช้ "ดาบอาญาสิทธิ์" ในการชิง ยุบสภา เพื่อรักษาแต้มต่อทางการเมือง และนำพรรคภูมิใจไทยกลับสู่สนามเลือกตั้งในฐานะผู้กุมอำนาจรัฐรักษาการ แทนที่จะยอมเพลี่ยงพล้ำในศึกซักฟอก
78 วันของรัฐบาลอนุทิน คือบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า ในสมรภูมิการเมืองไทย "อำนาจ" ที่ปราศจาก "เสถียรภาพ" และ "ความชอบธรรม" นั้นเปราะบางเพียงใด การคืนอำนาจสู่ประชาชนในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การรีเซ็ตกระดานการเมืองใหม่ แต่เป็นการเดิมพันครั้งสำคัญของ "ค่ายสีน้ำเงิน" ว่าจะสามารถกู้ศรัทธากลับมาได้หรือไม่ ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง