
เจาะ 53 ล้านเสียง Gen X-Y ครองสัดส่วนใหญ่ - เลือกตั้ง 2569 เปลี่ยนเกมจากกระแส สู่ 'ปากท้อง' First-time voter คือตัวแปรสำคัญ อาจกลายเป็น "Swing Voter" ที่คาดเดายาก
ในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ไม่ใช่เพียงการกาบัตรลงคะแนนตามวาระ แต่คือนัยสำคัญของการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างประชากรครั้งใหญ่ ข้อมูลล่าสุดชี้ชัดว่า กลุ่มคนวัยทำงาน หรือ Gen X และ Gen Y ยังเป็น "เสียงข้างมากเชิงโครงสร้าง" อย่างสมบูรณ์ โดยครองสัดส่วนเกือบ 60% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด
สถานการณ์นี้ อาจจะกำลังบีบให้พรรคการเมืองต้องปรับยุทธศาสตร์ จากการต่อสู้ด้วย "อุดมการณ์" ในปี 2566 มาสู่โจทย์ที่ท้าทายกว่าอย่างความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ
จากฐานข้อมูลกรมการปกครอง ตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 53 ล้านคน (มากกว่าเลือกตั้ง 2566 ราวๆ 1 ล้าน) ถูกแบ่งโครงสร้างตามเจเนอเรชันที่น่าสนใจ ดั
• Gen X (44-59 ปี) และ Gen Y (28-43 ปี): ครองสัดส่วนรวมกันถึง 58% (ราว 30.9 ล้านคน) นี่คือฐานเสียงที่ใหญ่ที่สุดและเป็นกลุ่มคนที่แบกรับภาระเศรษฐกิจของประเทศไว้สูงสุด
• Baby Boomer (60-78 ปี): ยังคงมีนัยสำคัญที่ 22% (ราว 11.8 ล้านคน) เป็นฐานเสียงที่มีวินัยในการออกมาใช้สิทธิสูงและสม่ำเสมอ
• Gen Z (18-27 ปี): มีสัดส่วน 15% (ราว 8.1 ล้านคน) โดยในจำนวนนี้มีกลุ่ม First-time Voter (ผู้ใช้สิทธิครั้งแรก) ประมาณ 3.2-3.4 ล้านคน
• Silent Generation (79 ปีขึ้นไป): สัดส่วน 4% (ราว 2 ล้านคน)
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างการเลือกตั้งปี 2566 และ 2569 คือ "อารมณ์ของสังคม" มีความแตกต่างกัน
ปี 2566: สงครามสัญลักษณ์ การเลือกตั้งครั้งนั้นขับเคลื่อนด้วยกระแส "ความเปลี่ยนแปลง" และ "สัญลักษณ์ทางการเมือง" กลุ่มคนรุ่นใหม่และ First-time voter (ที่มีจำนวนถึง 4 ล้านคนในขณะนั้น) รวมตัวกันเป็นก้อนเดียวเพื่อแสดงออกถึงอุดมการณ์ ส่งผลให้พรรคที่ชูธงการเปลี่ยนแปลงกวาดคะแนนไปได้อย่างถล่มทลาย
ปี 2569 : สงครามค่าครองชีพ สมการเปลี่ยนไปเมื่อกลุ่ม Gen X และ Gen Y กลายเป็นตัวแปรที่แท้ทรู คนกลุ่มนี้กำลังเผชิญ "วิกฤตวัยกลางคน" ทั้งหนี้สินครัวเรือน ภาษี และความมั่นคงในอาชีพ
Gen Y: เป็นกลุ่มที่มีพลังในโซเชียลมีเดียสูงและต้องการผู้นำที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้จริง
Gen X: เป็นกลุ่ม "พลังเงียบ" ที่มักไม่ออกตัวแรงบนโลกออนไลน์ แต่มีวินัยในการเลือกตั้งสูง และตัดสินใจจากนโยบายที่จับต้องได้มากกว่าวาทกรรม
ดังนั้น พรรคการเมืองที่ยังคงใช้วิธีหาเสียงแบบ "ปลุกกระแส" เหมือนปี 2566 อาจต้องเผชิญกับความยากลำบาก หากไม่มีนโยบายเศรษฐกิจที่ตอบโจทย์ "กระเป๋าตังค์" ของคนวัยทำงานได้จริง
แม้ตัวเลขกลุ่มผู้ใช้สิทธิครั้งแรกจะลดลงจาก 4 ล้านคน เหลือประมาณ 3.2-3.4 ล้านคน แต่บทบาทของพวกเขากลับมีความซับซ้อนขึ้น
ในการเลือกตั้งปี 2569 กลุ่มนี้ถูกนักวิเคราะห์มองว่าเป็น "Swing Voter" ที่แท้จริง ต่างจากปี 2566 ที่เทคะแนนไปในทิศทางเดียวกัน ครั้งนี้คนรุ่นใหม่ (Gen Z ตอนต้น) มีแนวโน้ม เลือกพรรคที่เสนอ "ภาพอนาคต" ที่ชัดเจน และพร้อมจะลงโทษพรรคการเมืองที่ทำให้ผิดหวังทันที
ในเขตเลือกตั้งที่มีการแข่งขันสูง เสียงของคนกลุ่มนี้เพียงไม่กี่พันคะแนน อาจเป็นตัวชี้ขาดชัยชนะ
การเลือกตั้ง 2569 จะไม่ใช่พื้นที่สำหรับนโยบายแบบ "เหวี่ยงแห" อีกต่อไป แต่ชัยชนะอาจจะเป็นของพรรคการเมืองที่สามารถบริหารความคาดหวังที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของ 3 ขั้วอำนาจหลักได้:
•วัยทำงาน (Gen X-Y): ต้องการนโยบายลดภาระหนี้และเพิ่มรายได้ (กลุ่มใหญ่สุด)
•คนรุ่นใหม่ (Gen Z): ต้องการความหวัง โอกาส และเสรีภาพ (กลุ่มตัวแปร)
• ผู้สูงวัย (Boomer): ต้องการความมั่นคงและรัฐสวัสดิการ (กลุ่มฐานแน่น)
หากการเลือกตั้งปี 2566 คือการระเบิดออกของความอัดอั้นทางการเมือง การเลือกตั้งปี 2569 ก็คือการกลับมาเผชิญหน้ากับความจริงทางเศรษฐกิจ โดยมีคนวัยทำงานกว่า 30 ล้านคนเป็นผู้ตัดสินว่าใครคือผู้ที่เหมาะสมจะนำพาประเทศต่อไป
ที่มา : thansettakij
ข่าวที่เกี่ยวข้อง