svasdssvasds

บทเรียนชีวิต ‘ดาวสภา’ ในวันที่บอกลาการเมือง

บทเรียนชีวิต ‘ดาวสภา’ ในวันที่บอกลาการเมือง

เปิดใจ 3 ดาวดังสภาผู้แทนราษฎร ‘เอ๋ ปารีณา-สิระ-เต้ มงคลกิตติ์’ ในวันที่หยุดทำงานการเมือง ชื่อเสียง และตำแหน่งที่ต้องแลกมาด้วยบทเรียนชีวิตราคาแพง

"ชีวิตฉันพังหมดแล้ว ถ้าใครไม่เจอไม่เข้าใจ"

น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี 4 สมัย กล่าวกับทีมข่าว SPRiNG ด้วยสีหน้านิ่งเฉย

เธอเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนตอนเป็น สส. พรรคพลังประชารัฐ ต้องทำหน้าที่เป็นฝ่ายรัฐบาล นำเสนอผลงานและข้อดีของฝ่ายรัฐบาล ขณะเดียวกันฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านเขาก็ไม่ชมกันอยู่แล้ว ประกอบกับพี่น้องประชาชนจำนวนมากก็ไม่ชอบพรรคพลังประชารัฐ เห็นได้จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาได้ สส. บัญชีรายชื่อเพียวแค่เก้าอี้เดียว ซึ่งทุกกการกระทำของเธอในฐานะ สส. ฝ่ายรัฐบาลจึงได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งเธอเองก็ยอมรับผลนั้น เนื่องจากเป็นสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนที่นักการเมืองต้องเจออยู่แล้ว

น.ส.ปารีณา ยอมรับว่า เธอยอมทุกอย่าง ยอมเป็นเบี้ย ยอมถวายหัวพลีชีพ แต่สุดท้ายก็ได้รับบทเรียนว่าในการเมืองมีคนทั้งดีและผู้เฒ่าอสรพิษที่ทำร้ายและฆ่าได้แม้กระทั่งลูกน้องตัวเอง แถมพี่ชายของเธอที่ลงสมัคร สส. ราชบุรีแทนเธอ หลังจากที่เธอโดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตก็ยังโดนตำรวจและการใช้อำนาจรัฐมาคุกคาม 

เธอยอมรับว่ารู้สึกเสียใจและเสียดายที่อายุยังน้อย แต่ต้องมาใช้ชีวิตเหมือนคนเกษียณ "สภาไม่มีให้ไป ไก่ไม่มีให้เลี้ยง" บางคืนเธอก็ยังฝันถึงตอนที่เคยทำงานในสภา ทำงานให้ประชาชน และเคยเลี้ยงไก่ เธอย้ำว่าชีวิตเธอตอนนี้พังหมดแล้ว ถ้าใครไม่มาเจออย่างนี้คงไม่เข้าใจ เธอเจ็บช้ำ จนต้องนอนเลียแผลอยู่ที่บ้านทุกวันไม่หาย แต่ให้อนาคตมีการนิรโทษกรรมหรืออะไรก็ตาม เธอคงจะไม่กลับไปการเมืองแล้ว

เมื่อถามถึงสภาพการเมืองไทยในปัจจุบัน เธอนิยามว่า "ไอ้เหลี่ยมคุมหมด" โดยอธิบายว่าเธอไม่คาดหวังกับการเมืองไทย เพราะพรรครัฐบาลเคยมีประวัติทุจริตคอร์รัปชัน และผ่านมาจะ 3 เดือนแล้วยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมตามที่สัญญาไว้กับประชาชน แม้กระทั่งรถไฟฟ้าที่บอก 20 บาทุกสาย ไม่ใช่แค่ 2 สาย

บทเรียนชีวิต ‘ดาวสภา’ ในวันที่บอกลาการเมือง

ถอดหลวงพ่อประวิตร มาขายส้มตำ-ไก่ย่าง

ด้านนายสิระ เจนจาคะ อดีต สส. กทม. ที่ถูกศาลวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติในการรับสมัครเลือกตั้ง สส. แต่ยังใช้สิทธิลงสมัครตามมาตรา 151 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. 2560 และคดีความยังคงค้างอยู่ในชั้นศาล เจ้าตัวเปิดใจว่าตอนนี้ยุติทุกอย่างทางการเมืองแล้ว และหันมาให้เวลากับครอบครัวและธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานทนายความ ขายบ้านทรงไทย ขายเฟอร์นิเจอร์ รับจัดเลี้ยง และล่าสุดคือร้านอาหารครัวเรือนไทย ขายอาหารไทย และอาหารอีสาน ประเภทส้มตำ ไก่ย่างเขาสวนกวาง โดยได้ไอเดียมาจากนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ลาออกจากพรรคเพื่อไทยมาเปิดร้านอาหารใต้ 

นายสิระ ยอมรับว่า หลังออกมาจากการเมือง ชีวิตดีขึ้น มีเวลามากขึ้น และมีเงินมากขึ้น เขาเล่าให้ฟังว่าตอนทำงานการเมือง เงินเดือน สส. แสนกว่าบาท แต่รายจ่ายเฉลี่ยแล้วเดือนละเกือบ 800,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างทีมงาน ดูแลชาวบ้าน และอื่นๆ แต่ตอนนี้ แม้จะไม่ทำการเมือง แต่สำนักงานทนายความของเขาก็ยังเปิดรับช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนเรื่องกฎหมายอยู่อย่างต่อเนื่อง

เมื่อถามว่า คิดถึงตัวเองตอนสมัยเป็นนักการเมืองหรือไม่? นายสิระ ตอบว่า คิดถึง แต่ตัวเองอายุมากขึ้นแล้ว การทำการเมือง โดยเฉพาะสายปะ-ฉะ-ดะ แบบที่ตนเคยทำ ควรต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ แต่พอคิดทบทวนแล้ว สมัยที่ปะ-ฉะ-ดะ แบบนั้นก็ไม่สนุกเท่าไร เพราะมันเหนื่อยที่ต้องทำงานหลายด้าน 

ถามถึง 'หลวงพ่อประวิทย์ วงษ์สุวรรณ' ล็อกเกตที่เคยแขวนเข้าสภา วันนี้ไปอยู่ที่ไหน? นายสิระ ตอบว่า ถอดไว้บนหิ้งพระที่บ้านแล้ว ไม่ได้คล้องคอแล้ว เพราะตอนแรกคิดว่าใส่แล้วจะรอด แคล้วคลาดทุกเรื่อง แต่ไม่แคล้วคลาดจริง ก็เลยนิมนต์ท่านไปอยู่บนหิ้งพระที่บ้าน

 

เขายังเล่าอีกว่า ตอนแรกที่เข้ามาทำงานการเมืองเพราะคิดว่าจะเปลี่ยนประเทศได้ แต่ความเป็นจริงมันอยู่ที่ผู้นำหรือเจ้าของพรรคการเมืองว่าจะเปลี่ยนแปลงไปทางไหน ซึ่งเขาเองก็เคยประสบความรู้สึกแบบเดียกวันคือการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ตัวเองเห็นต่างจากมติพรรค แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องโหวตตามมติ กลายเป็นความย้อมแย้งของรัฐธรรมนูญที่ให้อิสระแต่ สส. มีเอกสิทธิ์ แต่ก็บังคับให้ สส. สังกัดพรรคการเมืองที่มาครอบอิสระนี้ไว้อีกที

นายสิระ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาได้บทเรียนแล้วว่าการเมืองมันเปลืองตัว สิ่งที่เราทำลงไปมันจะให้ประโยชน์กับคนหนึ่งและจะทำให้อีกคนหนึ่งเสียประโยชน์เสมอ และสุดท้ายเมื่อเราไม่มีประโยชน์ คนเหล่านั้นเขาก็ไม่มายุ่งเกี่ยวกับเรา เราอยู่กับครอบครัว อยู่กับตัวเองดีที่สุด

"ถ้าไม่จำเป็นอย่ามาเดินสายนี้เลย การไม่เป็นนักการเมืองดีที่สุด" นายสิระ กล่าว

เขายังกล่าวอีกว่า ยิ่งทุกวันนี้การเมืองไทยยิ่งแย่ นักการเมืองโกหก หลอกหลวงประชาชนจากการหาเสียง แต่องค์กรอิสระและ กกต. กลับไม่เคลื่อนไหว ทำให้หลังจากนี้ ใครจะพูดอะไรหรือทำอะไรก็ได้ พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า "มันเป็นอาชีพที่น่ารังเกียจเสียแล้ว"

บทเรียนชีวิต ‘ดาวสภา’ ในวันที่บอกลาการเมือง

'เต้ มงคลกิตติ์' พร้อมพุ่งชนในฐานะประชาชน 

นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยศรีวิไลย์ แม้จะไม่ได้รับเลือกตั้งจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่เขาก็ยังไม่ถอดใจจากการเมือง เขากล่าวว่า ชีวิตคนเรากับการเมืองมันแยกกันไม่ออก การเมืองคือต้นกำเนิดของทุกอย่าง ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนขึ้นอยู่กับการเมือง ถ้าการเมืองดี การเมืองสุจริต การเมืองมีสมองก็จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น แต่ตอนนี้การเมืองสะเปะสะปะ เนื่องจากว่าผู้บริหารชุดปัจจุบันองค์ความรู้ไม่พอ ถ้าเทียบกับยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แม้จะไม่ดี แต่ยังดีกว่ารัฐบาลชุดนี้ ที่หาเงินไม่เป็น กู้เงินในอนาคตมาจ่ายให้ประชาชนสบายใจ เช่น ค่ารถไฟฟ้า ค่าน้ำมัน แถมงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ติดลบอยู่ 693,000 ล้านบาท แถมยังหมกรายได้ที่สูงกว่าความเป็นจริง 300,000 ล้านบาท จริงๆ ไทยติดลบกว่า 990,000 ล้านบาท ยังไม่รวมนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีหาเสียงไว้แต่ก็จะทำไม่ได้ได้เพราะกฎหมายไม่เอื้อ เนื่องจากไม่มีความรู้ แค่พูดไปเพราะอย่างได้คะแนนเสียง ประชาชนที่เลือกมาแล้วก็อยากได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ประชาชนก็จะด่า ไหนยังจะนโยบายขึ้นค่าแรง 600 บาทที่ตอนนี้จะขึ้นแค่ 20 ยังไม่ได้เลย ต่างจากสมัย พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีเงินสำรองระหว่างประเทศเยอะกว่า และกู้เงินมาด้วยความจำเป็นในช่วงโควิด

"เดิมทีก็เข้าใจว่าทีมงาน ของคุณทักษิณจะมีองค์ความรู้มากกว่านี้ ไปๆมาๆ ถ้าเทียบกับลุงตู่ยังห่างกันเกือบสิบเท่า ลุงตู่ว่าไม่ดีแล้ว พอ มาเปรียบเทียบกับสิ่งที่แย่กว่า ลุงตู่ดูดีขึ้นมาเลย" นายมงคลกิตติ์ กล่าว

เมื่อถามต่อว่าการเข้ามาทำงานการเมือง "ได้หรือเสีย" อะไรบ้าง? นายมงคลกิตติ์ เปิดเผยว่า เขาเสียบ้านไปหนึ่งหลัง รถหนึ่งคัน และยังมีหนี้สินอีกหลายล้านบาท เพราะใช้เงินไปเยอะมาก โดยเฉพาะช่วงโควิดที่ลงพื้นที่ไปช่วยเหลือประชาชน แต่ประชาชนมักเข้าใจผิดว่านักการเมืองจะต้องรวย ทั้งที่จริงๆ เงินเดือน สส. แค่แสนกว่าบาท แต่รายจ่ายเยอะกว่านั้นมาก 

นอกจากนี้เขายังถูกดำเนินคดีไป 6 คดีความ และบางคดีที่ค้างอยู่อาจจะมีผลให้เขาหมดสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยหน้าก็เป็นได้ แต่เขาก็ยังไม่ท้อ พร้อมกับกล่าวถึงแง่ดีของการทำงานการเมืองว่า ในฐานะฝ่ายค้านอิสระ เขาได้พิทักษ์งบประมาณของชาติ 156,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลจะจัดซื้อเครื่องบินฝูงใหญ่ 38 ลำ ตัวเองเป็นคนค้านเรื่องนี้อยู่คนเดียวและลงพื้นที่ตรวจสอบเครื่องบินที่มีอยู่ว่าซ่อมแล้วใช้ได้ไหมที่สนามบินอู่ตะเภา จนสุดท้ายกรรมการบริหารการบินไทยลาออก และยุติการจัดซื้อในช่วงโควิดพอดี แต่ทำให้ตัวเองต้องมาเป็นฝ่ายค้านอิสระเพราะรัฐบาลก็ต้องการจะซื้อ ส่วนฝ่ายค้านคือพรรคเพื่อไทยก็ไม่อภิปรายเพราะเคยเป็นคนจัดซื้อเครื่องบินปี 2547-2548-2549 ที่มีปัญหาอยู่และขาดทุนจนถึงปัจจุบัน

นายมงคลกิตติ์ เปรียบเทียบว่า ประเด็นนี้ทำโดย สส.คนเดียว ขณะที่พรรคก้าวไกล ตัวเองยังหาผลงานไม่เจอ สุราก้าวหน้าไม่สำเร็จ แก้รัฐธรรมนูญก็ไม่สำเร็จ ทำสำเร็จแต่เรื่องคุกคามทางเพศ ทำให้ตัวเองเปลี่ยนความคิดจากที่เชื่อว่าการเลือกตั้งสมัยหน้าพรรคก้าวไกลจะได้กว่า 300 ที่นั่ง แต่พอดูสถานการณ์ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะถึง 50 ที่นั่งหรือไม่ 

ขณะที่พรรคการเมืองใหญ่ที่มีคนเก่าคนแก่เยอะ นายมงคลกิตติ์ บอกว่า ส่วนใหญ่คนแก่เข้าไปโกงเต็มที่ เพราะว่าเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว แต่ถ้าเป็นวัยรุ่นจะไม่กล้าโกง เพราะกลัวติดคุกนาน เพราะฉะนั้นในช่วง ประมาณ 3 ปีที่เหลือ ตัวเองในฐานะประธานมูลนิธิเครือข่ายต่อต้านทุจริตอคร์รัปชันก็จะดำเนินคดีกับพวกรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีที่ขี้โกง ให้หมดเลย ไม่ให้เหลือเลยแม้แต่คนเดียว และจะบอกท่านรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ให้ขออนุมัติงบสร้างเรือนจำเพิ่มเติม 

ส่วนการเลือกตั้งสมัยหน้าจะกลับมาลงสมัครอีกไหม นายมงคลกิตติ์ ตอบว่า แล้วแต่สถานการณ์บ้านเมือง ถ้าได้นักการเมืองที่ดี ผู้บริหารที่ดีที่ทำให้เศรษฐกิจดี ตัวเองก็ไปทำธุรกิจเพราะว่าทำแล้วได้กำไร แต่ถ้าได้นักการเมืองไม่ดี ผู้บริหารประเทศไม่ดี นายกรัฐมนตรีไม่ดี รัฐมนตรีโง่ ประเทศก็ฉิบหาย เป็นนักธุรกิจก็เจ๊งไปด้วย เพราะฉะนั้นก็ต้องกลับมาทำเอง

สุดท้ายนายมงคลกิตติ์ นิยามการเมืองไทย ตอนนี้ด้วคำสามคำว่า "โคตร เฮง ซวย"

บทเรียนชีวิต ‘ดาวสภา’ ในวันที่บอกลาการเมือง

รับชมเพิ่มเติม

‘ดาวสภา’ ในวันที่บอกลาการเมือง ตอน ‘ปารีณา’ คิดถึงสภา คิดถึงเล้าไก่

‘ดาวสภา’ ในวันที่บอกลาการเมือง ตอน มงคลกิตติ์ ขอสู้ต่อในฐานะภาคประชาชน!

‘ดาวสภา’ ในวันที่บอกลาการเมือง ตอน ถอนหลวงพ่อประวิตรไว้บนหิ้ง ‘สิระ’ หันมาเปิดร้านส้มตำ

related