svasdssvasds

ฟื้นคืนชื่อ "พระคลังข้างที่" หลัง 200 ปี สภาฯ พิจารณา 28 พ.ค.

ฟื้นคืนชื่อ "พระคลังข้างที่" หลัง 200 ปี สภาฯ พิจารณา 28 พ.ค.

28 พ.ค.68 สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เปลี่ยนชื่อกลับสู่ "สำนักงานพระคลังข้างที่" ฟื้นคืนชื่อเดิมหลัง 200 ปี จากยุค "เงินถุงแดง" ที่เคยช่วยรักษาเอกราชสยาม

SHORT CUT

  • สภาผู้แทนราษฎรเตรียมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เปลี่ยนชื่อ "สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" กลับเป็น "สำนักงานพระคลังข้างที่" ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 โดยมี ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ

  • ชื่อ "พระคลังข้างที่" มีรากฐานทางประวัติศาสตร์กว่า 200 ปี เริ่มจาก "เงินถุงแดง" ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ทรงเก็บไว้ข้างพระแท่นที่บรรทม และเคยมีบทบาทสำคัญในการรักษาเอกราชของสยามในวิกฤต ร.ศ. 112

  • การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้มีความหมายมากกว่าเชิงสัญลักษณ์ เป็นการรวมศูนย์อำนาจการบริหารและฟื้นคืนปรัชญา "ข้างที่" (ข้างเตียง) ที่สื่อถึงทรัพยากรที่พร้อมใช้เมื่อชาติต้องการ เพื่อเป็นหลักค้ำยันเศรษฐกิจในยุคใหม่

28 พ.ค.68 สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เปลี่ยนชื่อกลับสู่ "สำนักงานพระคลังข้างที่" ฟื้นคืนชื่อเดิมหลัง 200 ปี จากยุค "เงินถุงแดง" ที่เคยช่วยรักษาเอกราชสยาม

28 พฤษภาคม 2568 จะเป็นวันที่มีนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเปลี่ยนชื่อ "สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" กลับเป็น "สำนักงานพระคลังข้างที่" ซึ่งเป็นการฟื้นคืนชื่อเดิมที่มีอายุกว่า 150 ปี

 

ย้อนรอยประวัติศาสตร์: จากพระคลังข้างที่สู่สำนักงานทรัพย์สินฯ

"กรมพระคลังข้างที่" เกิดขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) แต่ที่มาของแนวคิด "พระคลังข้างที่" มีรากฐานย้อนไปถึงรัชสมัยที่ 3 ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ 

 

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) เป็นยุคที่การค้าขายกับต่างประเทศเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก จึงได้ทรงเก็บสะสมกำไรที่ได้จากการค้าสำเภา ซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ไว้ในถุงผ้าสีแดงซึ่งเรียกกันว่า "เงินถุงแดง" ไว้ข้างพระแท่นที่บรรทม เรียกว่า "เงินข้างที่"

 

เงินถุงแดงนี้ได้แสดงบทบาทสำคัญในการรักษาเอกราช ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้เกิดเหตุวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 (พ.ศ. 2426) ที่สยามเกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสจึงได้นำเงินถุงแดงมาสมทบเพื่อเป็นการชดใช้ค่าเสียหายและค่าประกันแก่ฝรั่งเศส จนสามารถรักษาเอกราชอธิปไตยของชาติไว้ได้

ไทม์ไลน์การเปลี่ยนชื่อหน่วยงานพระคลังข้างที่

พ.ศ. 2350-2396 | รัชกาลที่ 3

"เงินถุงแดง" ข้างพระแท่นที่บรรทม

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) การค้าขายกับต่างประเทศเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก จึงได้ทรงเก็บสะสมกำไรที่ได้จากการค้าสำเภาซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไว้ในถุงผ้าสีแดงซึ่งเรียกกันว่า "เงินถุงแดง" ไว้ข้างพระแท่นที่บรรทม เรียกว่า "เงินข้างที่"

 

พ.ศ. 2433 | รัชกาลที่ 5

กรมพระคลังข้างที่

พระคลังข้างที่ได้รับการจัดตั้งเป็นองค์กรอิสระ อย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ. 2433 ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการแบ่ง "พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์" แยกออกจากส่วน "เงินแผ่นดิน" อย่างชัดเจน โดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์อยู่ในความดูแลของกรมพระคลังข้างที่ ส่วนเงินแผ่นดินอยู่ในความดูแลของกรมพระคลังมหาสมบัติ

 

พ.ศ. 2475 | การปฏิวัติสยาม

สำนักงานพระคลังข้างที่

ต่อมา หลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 กรมพระคลังข้างที่ถูกลดบทบาทมาเป็น "สำนักงานพระคลังข้างที่" อยู่ภายใต้การดูแลของนายกรัฐมนตรีโดยตรง

 

พ.ศ. 2479 | คณะราษฎร

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

ต่อมา เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2480 ได้มีการออก พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 ได้มีการเปลี่ยนชื่อหน่วยงานเป็น "สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ตามความในพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479

พ.ศ. 2491 | หลังรัฐประหาร 2490

การปรับแก้หลังการคืนอำนาจ

ภายหลังการรัฐประหารเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490 และในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 รัฐบาลก็ได้ทำการแก้ไขพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์อีกครั้ง โดย พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ฉบับปี 2491 นี้สาระสำคัญคือการตั้ง "สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" เพื่อดูแลทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แทนที่กระทรวงการคลัง และแก้ไขให้การจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้นไปเป็นตามพระราชอัธยาศัย

 

พ.ศ. 2561 | สภานิติบัญญัติแห่งชาติ

สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2561 ราชกิจจานุเบกษาประกาศใช้ "พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561" เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" มีฐานะเป็นนิติบุคคล เป็นหน่วยงานในพระมหากษัตริย์ มีหน้าที่จัดการ ดูแลรักษา จัดหาผลประโยชน์ และดำเนินการอื่นใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ตามที่จะทรงมอบหมาย

 

พ.ศ. 2568 | การฟื้นคืนชื่อเดิม

สำนักงานพระคลังข้างที่

วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเปลี่ยนชื่อ "สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" กลับเป็น "สำนักงานพระคลังข้างที่" เพื่อเป็นการสืบทอดประวัติความเป็นมาให้สอดคล้องกับโบราณราชประเพณี

 

รวมศูนย์อำนาจการบริหารพระราชทรัพย์

นอกจากการเปลี่ยนชื่อแล้ว ร่างพระราชบัญญัตินี้ยังมีการปรับโครงสร้างที่สำคัญ มีการรวมกิจการของสำนักพระราชวังเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักงานพระคลังข้างที่ เดิมเข้ามาบริหารจัดการไปด้วย

 

ซึ่งเป็นไปตามหลัก 'การจัดการการเงิน' เพราะสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ที่เปลี่ยนเป็นชื่อสำนักงานพระคลังข้างที่) นั้นมีความชำนาญมากกว่า มีบุคลากรพร้อมกว่า สามารถตอบสนองกับภารกิจของสำนักได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

 

การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงกฎหมายที่มีความต่อเนื่องมายาวนาน ต่อมามีการปรับปรุงและยกเลิก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ อีก 3 ครั้ง เพื่อให้เกิดความเหมาะสม จนกระทั่งล่าสุดได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" ตามความใน พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2561

 

การเปลี่ยนแปลงสำคัญในร่างกฎหมายใหม่ประกอบด้วย:

  • การเปลี่ยนชื่อตำแหน่ง: แก้ไขคำว่า 'คณะกรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์' เป็น 'คณะกรรมการพระคลังข้างที่', แก้ไขคำว่า 'กรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์' เป็น 'กรรมการพระคลังข้างที่' และแก้ไขคำว่า 'ผู้อำนวยการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์' เป็น 'ผู้อำนวยการพระคลังข้างที่'
  • การโอนย้ายกิจการ: ย้ายกิจการทั้งหมดของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์มาเป็นของสำนักงานพระคลังข้างที่

 

การฟื้นคืนชีพ "สำนักงานพระคลังข้างที่”

การฟื้นคืนชื่อ "สำนักงานพระคลังข้างที่" ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เป็นมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงสัญลักษณ์ มันคือการเชื่อมโยงเส้นใยแห่งเวลาที่ขาดตอนไปกว่า 200 ปี

 

คำว่า "ข้างที่" ซึ่งหมายถึง "ข้างเตียง" ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดคือสิ่งที่พร้อมใช้เมื่อจำเป็น ไม่ใช่สิ่งที่ถูกเก็บไว้ไกลๆ หรือใช้ยาก และหากประเทศชาติต้องเผชิญกับวิกฤติอีกครั้ง "พระคลังข้างที่" ก็จะพร้อมที่จะเป็น "หลักค้ำยันชาติ" อีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับที่เคยเป็นมาในอดีต

related