SHORT CUT
วันเฉลิมหาย 5 ปี! รัฐไทยยังนิ่งเฉย แม้มีกฎหมายคุ้มครองผู้สูญหาย มูลนิธิฯ ยื่นหลักฐาน "การปราบปรามข้ามชาติ" ชี้ความรับผิดชอบไม่พ้นรัฐบาลไทย
กรณีการบังคับสูญหายของ นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมชาวไทยในประเทศกัมพูชาเมื่อปี 2563 ยังคงเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจและต้องการความกระจ่าง ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม พร้อมด้วย สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของวันเฉลิม ได้เข้ายื่นหลักฐานเพิ่มเติมต่อสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อเร่งรัดการสอบสวนและค้นหาข้อเท็จจริง หลักฐานชุดใหม่นี้ชี้ไปที่ความเชื่อมโยงของ นายเคลียง ฮวด ล่ามคนสำคัญของสมเด็จฮุนเซ็น กับการไล่ล่าผู้เห็นต่างทางการเมือง ซึ่งเป็นเบาะแสสำคัญที่อาจนำไปสู่การระบุตัวผู้บงการและผู้เกี่ยวข้องในการอุ้มหายครั้งนี้
การยื่นหลักฐานเพิ่มเติมในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้สำนักงานอัยการสูงสุดเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การแสวงหาความจริงในคดีการบังคับสูญหายของวันเฉลิม โดยหลักฐานที่นำมายื่นประกอบด้วย
บันทึกคลิปเสียงจากสำนักข่าว Al Jazeera ระบุว่านายเคลียง ฮวด มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปราบปรามผู้เห็นต่างจากรัฐบาลกัมพูชาในประเทศไทย ข้อมูลนี้ถือเป็นเบาะแสสำคัญที่อาจนำไปสู่การระบุตัวผู้สั่งการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอุ้มฆ่าหรืออุ้มเพื่อแลกเปลี่ยนผู้เห็นต่างทางการเมือง ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา
บันทึกภาพถ่าย เป็นภาพคู่ของวันเฉลิมและเคลียง ฮวด ขณะที่ทั้งสองคนอยู่ในประเทศกัมพูชา
แม้ว่าในวันที่มีการยื่นหลักฐาน จะไม่ปรากฏตัวแทนจากสำนักงานอัยการสูงสุดมารับเอกสารโดยตรง แต่สิตานันและทนายความก็ได้ยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติมแก่งานรับเรื่องของสำนักงานอัยการสูงสุดเรียบร้อยแล้ว
นายเคลียง ฮวด ถูกระบุว่าเป็นล่ามคนสำคัญของสมเด็จฮุนเซ็น และมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชา ดังที่ปรากฏในการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร กับสมเด็จฮุนเซน นอกจากนี้ ประกายดาว พฤกษาเกษมสุข ซึ่งใกล้ชิดกับวันเฉลิมและรู้จักกับเคลียง ฮวด ขณะอาศัยอยู่ในกัมพูชา ได้ยืนยันว่า เคลียง ฮวด เป็นบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับการลี้ภัยของคนไทยในต่างแดน โดยเฉพาะในช่วงแรกของการลี้ภัยหลังรัฐประหารปี 2557 เขาเป็นบุคคลแรกๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวไทยในกัมพูชา ซึ่งรวมถึงวันเฉลิมด้วย ประกายดาวได้กล่าวเรียกร้องให้เคลียง ฮวด ออกมาให้ข้อเท็จจริงกับเจ้าหน้าที่รัฐไทย หากเขาไม่เกี่ยวข้องกับการอุ้มหายวันเฉลิม เพื่อให้ครอบครัวสามารถติดตามหาผู้กระทำผิดที่แท้จริงต่อไปได้
พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้กล่าวถึงประเด็นที่กว้างขึ้น โดยระบุว่านอกเหนือจากกรณีของวันเฉลิม ยังมีผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาจำนวนมากที่ถูกทางการไทยส่งตัวกลับไปยังกัมพูชา หลายคนถูกควบคุมตัวและอีกหลายคนไม่ทราบชะตากรรม พรเพ็ญเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "การปราบปรามข้ามชาติ" (Transnational Repression) ซึ่งมักเกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐในการไล่ล่าปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง เธอเน้นย้ำว่าหลักฐานที่นำมายื่นในวันนี้ควรได้รับการพิจารณาและดำเนินการโดยรัฐไทย เพื่อยับยั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับ
สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของวันเฉลิม ได้กล่าวเน้นย้ำว่า "วันเฉลิมเป็นคนไทย ความรับผิดชอบไม่พ้นไปจากรัฐบาลไทย" เธอกล่าวว่าตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่วันเฉลิมหายตัวไป รัฐบาลไทยกลับปฏิเสธการดำเนินคดีและนิ่งเฉยต่อการช่วยเหลือผู้เสียหาย แม้ประเทศไทยจะมีพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และได้ลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (CED) แต่รัฐไทยกลับไม่มีการดำเนินการสืบสวนสอบสวน ค้นหาความจริง หรือมีความคืบหน้าในเรื่องคดีแต่อย่างใด
พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ยังได้ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญอีกประเด็นคือ การถือสัญชาติของเคลียง ฮวด ซึ่งมีกระแสข่าวว่าเขามีสัญชาติไทยและมีที่พักอาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งหากเป็นจริง รัฐไทยจะมีอำนาจหน้าที่ในการติดตามสืบสวน เพื่อนำตัวมาเป็นพยานในกรณีของวันเฉลิม และหากเคลียง ฮวด มีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนใดๆ ก็อาจจะต้องมีการออกหมายเรียกหรือหมายจับต่อไป พรเพ็ญได้กล่าวทิ้งท้ายว่า "การที่รัฐไทยให้ความร่วมมือโดยการไม่รู้ไม่เห็น นิ่งเฉย เป็นอันตรายต่อทุกคน รวมทั้งพวกเราด้วย" ซึ่งแสดงถึงความกังวลว่าแม้แต่ผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนก็อาจถูกกระทำในลักษณะเดียวกันได้ เธอจึงต้องการให้หน่วยงานที่สำคัญที่สุดในกระบวนการยุติธรรมไทยตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ เข้ามาสืบสวนสอบสวนให้ทราบชะตากรรมว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายใดดำเนินการ และนำผู้กระทำผิดทุกระดับมาลงโทษ
การยื่นหลักฐานใหม่ในกรณีการบังคับสูญหายของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของนายเคลียง ฮวด และชี้ให้เห็นถึงปัญหาการปราบปรามข้ามชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีกฎหมายภายในประเทศและพันธกรณีระหว่างประเทศ รัฐไทยกลับยังคงนิ่งเฉยและไม่มีความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ เสียงเรียกร้องจากครอบครัววันเฉลิมและนักสิทธิมนุษยชนสะท้อนความต้องการความจริงและความยุติธรรมอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเบาะแสใหม่ที่อาจนำไปสู่การคลี่คลายคดีได้ ความรับผิดชอบของรัฐไทยในการติดตามสืบสวนและนำผู้กระทำผิดมาลงโทษจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่เพียงเพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่ครอบครัววันเฉลิมเท่านั้น แต่ยังเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนและยับยั้งการละเมิดในอนาคตอีกด้วย