SHORT CUT
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ครบวาระยังคงมีอำนาจและหน้าที่ในการพิจารณาคดีต่อไป จนกว่าตุลาการคนใหม่จะถวายสัตย์ปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง
จากกรณีที่โลกออนไลน์ได้มีการเผยแพร่เอกสารสำคัญฉบับหนึ่ง ซึ่งระบุถึงการ แต่งตั้งนายสราวุธ ทรงศิวิไล เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ แทนที่นายปัญญา อุดชาชน ที่ครบวาระ โดยเอกสารลงวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ทำให้เกิดคำถามและข้อสงสัยขึ้นในสังคมอย่างกว้างขวาง เพราะวันที่นายสราวุธได้รับการแต่งตั้งนั้น ตรงกับวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในคดีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน
ประเด็นหลักที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ ในวันที่มีการพิจารณาคดีสำคัญเช่นนี้ องค์คณะตุลาการที่ตัดสินคดีประกอบด้วยใครบ้าง ตุลาการที่ครบวาระแล้วยังมีอำนาจในการตัดสินคดีอยู่หรือไม่ และตุลาการคนใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งแล้วแต่ยังไม่ได้ถวายสัตย์ฯ จะเข้ามาทำหน้าที่ได้ทันทีหรือไม่
สำหรับเอกสารดังกล่าวได้มีการนำมาเปรียบเทียบกับเอกสารข่าวของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 ในประเด็นเกี่ยวกับการแต่งตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า เมื่อมีประกาศพระราชทานโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2567
ดังนั้น เพื่อให้การประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 8/ 2567 ในวันพุธที่ 20 มีนาคม 2567 ถูกต้องตามประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งศาลรัฐธรรมนูญ จึงเพิกถอนกระบวนการพิจารณาในวันพุธที่ 20 มีนาคม 2567 และดำเนินการพิจารณาคดีใหม่ โดยองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเท่าที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 206
ต่อมานายไพศาล พืชมงคล ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่หมดวาระการดำรงตำแหน่ง คือนายปัญญา อุดชาชน ซึ่งได้พ้นจากตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเนื่องจากครบวาระการดำรงตำแหน่ง
และได้มีการแต่งตั้ง นายสราวุธ ทรงศิวิไล เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.2568 เป็นต้นไป ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่พ้นวาระแล้ว ถ้าหากตุลาการท่านใหม่ ยังไม่ได้เข้าถวายสัตย์จะยังมีอำนาจ พิจารณาวินิจฉัยคดีหรือไม่
แหล่งข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญได้ให้คำอธิบายในประเด็นนี้ไว้ว่า
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 16 ระบุว่า ก่อนเข้ารับหน้าที่ ตุลาการต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคํา ดังต่อไปนี้ “ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยด้วยความซื่อสัตย์สุจริตโดยปราศจากอคติทั้งปวง เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชน และความสงบสุขแห่งราชอาณาจักร ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ”
มาตรา 17 ระบุว่า ตุลาการมีวาระการดํารงตําแหน่งเจ็ดปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดํารงตําแหน่งได้เพียงวาระเดียว ในกรณีที่ตุลาการพ้นจากตําแหน่งตามวาระ ให้ตุลาการที่พ้นจากตําแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าตุลาการที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่
ในช่วงเวลาที่มีการพิจารณาและตัดสินคดีสำคัญของ น.ส.แพทองธาร ถึงแม้จะมีเอกสารการแต่งตั้งตุลาการคนใหม่ออกมาแล้ว แต่หากยังไม่มีการถวายสัตย์ปฏิญาณตนอย่างเป็นทางการ ตุลาการคนเดิมที่อยู่ในตำแหน่ง ก็ยังคงมีอำนาจและหน้าที่ในการพิจารณาคดีต่อไปตามกฎหมาย
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีมีการตั้งข้อสังเกตการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่พ้นวาระแล้ว แต่ยังทำหน้าที่เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะมีผลกระทบต่อคดีหรือไม่ ว่า เอกสารออกมาตั้งแต่เมื่อวานนี้ (1 ก.ย.) ซึ่งออกมาอย่างไรตนก็ไม่ทราบ แต่เท่าที่ทราบ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ร่วมกันลงรายชื่อ ทำคำร้องเพื่อยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตีความวินิจฉัยความชอบตามรัฐธรรมนูญ โดยจะมีการอ้างเหตุผล 2 ข้อ เพื่อให้เกิดความชัดเจน ได้แก่
เมื่อถามว่า จะเป็นผลทำให้คดีนี้เป็นโมฆะเลยหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า อย่าไปพูดแบบนั้น แต่ที่ตนพูดหมายความว่า ให้ศาลไปวินิจฉัยว่าเห็นชอบหรือไม่ที่มีการทำแบบนี้ ส่วนจะโมฆะหรือไม่เราไม่พูด ให้เขาไปพูดกัน
เมื่อถามย้ำว่า ไม่มีผลกับมติคำวินิจฉัยที่ออกมาใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหาคือ หากเขาทำหน้าที่ไม่ได้ จำนวนเสียงก็จะเป็น 5 ต่อ 3 องค์ประชุมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีเพียง 8 คน ซึ่งเป็นประเด็นที่ ส.ส.ตั้งไว้
เมื่อถามว่า เรื่องนี้ผลจะออกมาเป็นอย่างไรได้บ้าง นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ไม่ขอก้าวล่วง อยู่ที่ดุลพินิจของศาล