svasdssvasds

รัฐธรรมนูญใหม่ต้องประชามติ 3 ครั้ง ปีดประชาชนเลือก ส.ส.ร.โดยตรง

รัฐธรรมนูญใหม่ต้องประชามติ 3 ครั้ง ปีดประชาชนเลือก ส.ส.ร.โดยตรง

ศาล รธน. ชี้รัฐสภาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ได้ แต่ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง! พร้อมปัดตกคำร้องคุณสมบัติรัฐมนตรีพีระพันธุ์ และคดีล้มล้างการปกครองจากคลิปผู้นำกัมพูชา

SHORT CUT

  • รัฐสภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่แต่ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง
  • ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องคุณสมบัติรัฐมนตรีของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
  • ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องกรณีล้มล้างการปกครองฯ จากคลิปเสียงผู้นำกัมพูชา

ศาล รธน. ชี้รัฐสภาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ได้ แต่ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง! พร้อมปัดตกคำร้องคุณสมบัติรัฐมนตรีพีระพันธุ์ และคดีล้มล้างการปกครองจากคลิปผู้นำกัมพูชา

เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการประชุมปรึกษาคดีจำนวน 5 เรื่อง ซึ่งมีคดีสำคัญและเป็นที่สนใจหลายคดี โดยมีผลการพิจารณาที่สำคัญดังนี้
ประเด็นแรก อำนาจรัฐสภาในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่และการทำประชามติ ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ซึ่งประธานรัฐสภาได้ส่งเรื่องนี้มาให้พิจารณา หลังจากที่รัฐสภามีมติเห็นชอบตามญัตติของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ผลการพิจารณาในคดีนี้แบ่งเป็น 2 ประเด็นหลัก

ประเด็นที่หนึ่ง รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่?

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 วินิจฉัยว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวจะต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน นอกจากนี้ การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติหมวด 15 ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง

ตุลาการเสียงข้างมาก 5 คน ได้แก่ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์, นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม, นายวิรุฬหุ แสงเทียน, นายจิรนิติ หะวานนท์, และนายนภดล เทพพิทักษ์ ตุลาการเสียงข้างน้อย 2 คน ได้แก่ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า รัฐสภาไม่มีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เว้นแต่จะจัดให้มีการออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ประเด็นที่สอง การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติกี่ครั้ง?

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 1 วินิจฉัยว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร ครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ อนึ่ง การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้ ตุลาการเสียงข้างมาก 6 คน ได้แก่ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์, นายวิรุฬหุ แสงเทียน, นายจิรนิติ หะวานนท์, นายนภดล เทพพิทักษ์, นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์, และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ

ตุลาการเสียงข้างน้อย 1 คน คือ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม เห็นว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 3
ศาลฯ ไม่รับคำร้องนายสนธิญา สวัสดี ขอวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นายสนธิญา สวัสดี (ผู้ร้อง) ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 โดยกล่าวอ้างว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (ผู้ถูกร้อง) และภริยา ถือครองหุ้นที่ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 และเสนอชื่อบุคคลเป็นกรรมการในบริษัทของผู้ถูกร้องให้ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานที่ผู้ถูกร้องกำกับดูแล ซึ่งเป็นการขาดความซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) ผู้ร้องขอให้ศาลวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) และ (5) และขอให้หยุดปฏิบัติหน้าที่

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย เนื่องจาก แม้ผู้ร้องจะยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่เป็นการยื่นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (1) มิใช่ มาตรา 213 นอกจากนี้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง และการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา 170 นั้น รัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ได้กำหนดกระบวนการร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้เป็นการเฉพาะแล้ว เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (2) ประกอบมาตรา 46 วรรคสาม ที่บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา
ศาลฯ ไม่รับคำร้องนายบัณฑิต พุ่มทิพย์ กล่าวหา ป.ป.ช. นายบัณฑิต พุ่มทิพย์ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 โดยกล่าวอ้างว่าได้มีหนังสือถึงสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวหาพนักงานสอบสวน สภ.ลำปลายมาศ กรณีมีเห็นสั่งฟ้องผู้ร้องในข้อหาหมิ่นประมาทและดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ต่อมา ป.ป.ช. (ผู้ถูกร้อง) มีมติว่าความผิดของพนักงานสอบสวนดังกล่าวเป็นความผิดไม่ร้ายแรง จึงส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัย ซึ่งผู้ร้องเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 และมาตรา 25

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบปรากฏว่า ผู้ร้องขอให้ตรวจสอบการกระทำของผู้ถูกร้องซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย หากผู้ร้องเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ ผู้ร้องอาจใช้สิทธิทางศาลอื่นได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 วรรคสาม ซึ่งเป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้กำหนดกระบวนการร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้เป็นการเฉพาะแล้ว ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (2) ประกอบมาตรา 46 วรรคสาม

ศาลฯ ไม่รับคำร้องขอให้วินิจฉัยกรณีล้มล้างการปกครองฯ จากปมคลิปเสียงผู้นำกัมพูชา นายวินิจ จินใจ (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยกล่าวอ้างว่า สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา (ผู้ถูกร้องที่ 1) ได้เผยแพร่คลิปเสียงสนทนากับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมีเจตนาเพื่อเตรียมการรุกล้ำอธิปไตยของไทย การกระทำดังกล่าวส่งผลให้เกิดความเคลื่อนไหวจากบุคคลและกลุ่มต่างๆ 15 ราย (ผู้ถูกร้องที่ 1-15) ซึ่งรวมถึงการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ, คณะกรรมการการเลือกตั้ง, การแจ้งความดำเนินคดีอาญา, การเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก, และการลงนามถวายฎีกา ผู้ร้องเห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 15 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย โดยเห็นว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสิบห้ากระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง สำหรับกรณีการกระทำอื่นใดของผู้ถูกร้องทั้งสิบห้าจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันต่างหากตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป อนึ่ง อัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ จึงมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอไปก่อนหน้านี้
ศาลฯ ไม่รับคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีในอดีต มีคำร้องจำนวน 3 ฉบับ (จากนายนิยม นพรัตน์, นางสาวแพทองธาร ชินวัตร, และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ กับคณะรวม 20 คน) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีตามคำวินิจฉัยที่ 17/2568 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2568 และพิจารณาคดีใหม่ เนื่องจากประกาศแต่งตั้งนายสราวุธ ทรงศิวิไล เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทนนายปัญญา อุดชาชน ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2568 ทำให้คำวินิจฉัยดังกล่าวออกโดยองค์คณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องทั้ง 3 ฉบับแล้วเห็นว่าไม่รับคำร้องไว้พิจารณา เนื่องจากเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้รับหนังสือแจ้งจากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาว่า ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งนายสราวุธ ทรงศิวิไล เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2568 มิใช่วันที่ 29 สิงหาคม 2568 ตามที่ยื่นคำร้อง ทำให้ข้อเท็จจริงไม่ตรงตามคำร้อง

หมายเหตุเพิ่มเติม นายอุดม รัฐอมฤต ได้รับอนุญาตให้ถอนตัวไม่ร่วมพิจารณาวินิจฉัยในเรื่องพิจารณาที่ 9/2568 ตั้งแต่เริ่มการพิจารณา นายสราวุธ ทรงศิวิไล ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ จึงไม่ได้ร่วมพิจารณาวินิจฉัยในทุกเรื่อง

related