
SHORT CUT
SLAPP คือ "อาวุธปิดปากคนตัวเล็ก" กลยุทธ์ที่ใช้ทุนมหาศาลสร้างความหวาดกลัวให้ประชาชนต้อง "เซ็นเซอร์ตัวเอง" ทางออกคือ Anti-SLAPP เพื่อหลักนิติธรรม
"ประชาชนต้องมาก่อน" "การพัฒนาต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" ลมปากหวานๆ จากนักการเมืองรวมถึงผู้มีอำนาจของรัฐที่พูดกรอกหูชาวบ้านตัวเล็กตัวน้อยยามหาเสียงคำมั่นสัญญาที่ไม่รู้จะเป็นจริงไหมแต่ขอเพียงให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียง ความชอบธรรม หรืออำนาจการบริหารจัดการผลประโยชน์ของประเทศก็เป็นพอ
การพัฒนาประเทศไทย ในยุคปัจจุบันเรียกว่าเป็นมหกรรมอลังการ มีเมกะโปรเจกต์มากมายที่อ้างว่าเพื่อตอบสนองประชาชาชนและประชาชนได้ประโยชน์สุดๆ จากการพัฒนาทางวัตถุในประเทศแห่งนี้
แต่ในความเป็นจริงในม่านหมอกของ "การพัฒนา" และความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่นับวันยิ่งเข้มข้นขึ้นในสังคมไทย มีเสียงหนึ่งที่กำลังถูกกดทับอย่างเงียบงัน แต่เจ็บปวด คือเสียงของ "คนตัวเล็กตัวน้อย" ที่ลุกขึ้นมาทักท้วง คัดค้าน หรือไม่เห็นด้วยกับโครงการพัฒนา ทั้งของรัฐและเอกชน
ทว่าแทนที่เสียงเหล่านั้นจะได้รับการรับฟัง พวกเขากลับถูกเผชิญหน้าด้วยอำนาจมืดที่ชื่อว่า "เครื่องมือทางกฎหมาย" ซึ่งถูกใช้เป็นอาวุธในการบั่นทอนกำลัง สกัดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ หรือที่รู้จักกันในนาม คดีฟ้องปิดปาก (SLAPP - Strategic Lawsuit Against Public Participation)
วีรวัฒน์ อบโอ หรือ ทนายกอล์ฟ ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ผู้เปรียบเสมือนด่านหน้าในการปกป้องชาวบ้านจากกระบวนการนี้ ได้เปิดเผยถึงภาพรวมและกลยุทธ์อันซับซ้อนของการใช้กฎหมายที่เปลี่ยน "เกมชีวิต" ของชาวบ้านให้กลายเป็น "ไฟลามทุ่ง" ที่กัดกินทั้งทรัพยากรและจิตวิญญาณ
วีรวัฒน์ เล่าด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจชาวบ้านว่า ตนเป็นผู้รับผิดชอบคดีในลักษณะนี้กว่า 5-6 คดี และคาดการณ์ว่าจะมีมาเรื่อยๆ ตราบใดที่การใช้กฎหมายยังคงเป็นไปในทิศทางนี้ ยืนยันว่าการฟ้องร้องเหล่านี้มักมีเป้าหมายที่เหนือกว่าการเอาผิดทางกฎหมาย นั่นคือการ สร้างอำนาจต่อรอง และหวังผลประโยชน์บางอย่าง
คดีฟ้องปิดปากมักถูกใช้เป็นกลยุทธ์ในการบีบบังคับ ตัวอย่างสะเทือนใจตัวอย่างคือที่ จ.เลย ชาวบ้านที่คัดค้านเหมืองทองและสร้างกำแพงปิดกั้นพื้นที่สาธารณะถูกบริษัทฟ้องถึง 22 คดีในข้อหาปิดกั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทยื่นข้อเสนอเผยเจตนาที่แท้จริงคือ "หากชาวบ้านเปิดทางให้ขนแร่ไปขายได้ จะถอนฟ้องคดีทั้งหมด" นี่คือการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อบีบให้จำเลยยอมจำนนและแลกผลประโยชน์ทางธุรกิจโดยตรง
สำหรับคนตัวเล็ก การถูกฟ้องคดีคือ กลยุทธ์ทางจิตวิทยา ที่มีผลกระทบอย่างรุนแรง ความเครียด ความวิตกกังวล และปัญหาครอบครัวมักตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ "ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดคือเสียต้องโทษ และผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือเสมอตัวไม่ได้อะไร" คือคำนิยามที่สรุปชะตากรรมของชาวบ้านได้ชัดเจนที่สุด เพราะแม้ศาลจะยกฟ้อง พวกเขาก็ต้องเสียเวลา เสียพลังงาน และเสียค่าใช้จ่ายไปแล้ว โดยไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย
วีรวัฒน์ชี้ให้เห็นถึง "ความเหลือเชื่อและแปลกประหลาด" ที่เกิดขึ้นในกระบวนการต่อสู้คดีตั้งแต่ชั้นตำรวจ ชั้นอัยการ จนถึงชั้นศาล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะสร้างความยากลำบากและกดดันให้กับฝ่ายจำเลย
หลังจากการพูดคุยอย่างเป็นมิตรกับผู้ใหญ่ว่าจะ "ไม่มีการดำเนินคดี" เพียง 2-3 อาทิตย์ต่อมา กลับมีหมายเรียกมาถึงชาวบ้าน โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งจาก "หัวหน้า" ที่ต้องดำเนินคดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการตัดสินใจทางกฎหมายอาจถูกชี้นำจากอำนาจเหนือกว่าที่ไม่ยึดโยงกับข้อเท็จจริง
หรืออีกแนวทางหนึ่งคือการเลือกสถานที่ฟ้องคดีที่ไกลแสนไกล การที่บริษัทเลือกไปฟ้องคดีในศาลที่อยู่ห่างไกลจากพื้นที่เกิดเหตุ เช่น คดีที่เกิดขึ้นใน จ.เลยแต่ไปฟ้องร้องที่ จ.ภูเก็ต มีวัตถุประสงค์เดียวคือการ เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางและเวลา ให้ชาวบ้านต้องจัดการภายในชุมชนเพื่อระดมเงินมาต่อสู้คดีเอง ซึ่งนับเป็นกลยุทธ์ที่บั่นทอนกำลังได้ดีที่สุด
วีรวัฒน์ ตั้งข้อสังเกตว่าการดำเนินคดีมักได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีการชุมนุม "หากรัฐบาลไม่ซีเรียส การฟ้องร้องก็จะไม่เกิดขึ้น" รวมถึงการแทรกแซงในกลไกภายใน เช่น กรณีผู้พิพากษาเห็นด้วยกับการให้ประกันตัวผู้ต้องหาทางการเมือง แต่กลับมีคำสั่งจากเบื้องบนไม่ให้ประกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการที่ "การเมืองเข้ามาในกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างมาก"
วีรวัฒน์ เล่าให้ฟังว่า ในการต่อสู้คดี SLAPP ทนายความจำเป็นต้องทำมากกว่าการโต้แย้งข้อกฎหมาย แต่ต้องชี้ให้ศาลเห็นถึง "พื้นหลัง" และ "มูลเหตุ" ที่ชาวบ้านลุกขึ้นมาพูด
การต่อสู้คดีเน้นย้ำว่าการกระทำของชาวบ้านเป็นการ ปกป้องประโยชน์สาธารณะ และผู้ได้รับผลกระทบไม่ใช่แค่ตัวจำเลยเอง แต่เป็นชุมชนหรือประเทศชาติ หากการวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นไปอย่าง สุจริต และอยู่บนพื้นฐานที่สังคมสนใจ แม้จะกระทบผู้ถูกกล่าวหาบ้าง ก็ไม่ควรถือเป็นความผิด "คำว่า 'สุจริต' และ 'เป็นประโยชน์สาธารณะ' ต้องมีการตีความ" เพื่อให้กฎหมายรับใช้เจตนารมณ์ที่แท้จริง
วีรวัฒน์ มองว่าความยุติธรรมไม่ใช่สิ่งที่ต้องร้องขอ แต่ต้อง "สร้างมันขึ้นมา" ผ่านกลไกการสู้คดี และเรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนมุมมองและระบบงานเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของพลเมือง
ต้องมีการกลั่นกรองคดีอย่างเข้มข้น โดยองค์กรอัยการและศาลควรใช้ ดุลพินิจอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงการใช้สิทธิเสรีภาพ หลักสุจริต และประโยชน์สาธารณะตั้งแต่ขั้นตอนแรกๆ เพื่อไม่ให้คดีที่ไม่เข้าข่ายต้องถูกรับฟ้อง และโยนภาระการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ไปที่ชาวบ้าน
สิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนที่สุดคือการออก พระราชบัญญัติหรือกฎหมายเฉพาะ เกี่ยวกับเรื่อง SLAPP โดยตรง เพื่อให้เกิดความชัดเจนและไม่ต้องขึ้นอยู่กับการตีความหรือดุลพินิจของผู้ปฏิบัติงานองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ซึ่งจะนำมาซึ่งความเท่าเทียมกันในการใช้กฎหมาย
"ผู้ปฏิบัติงาน (ผู้พิพากษา/อัยการ) ต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องประโยชน์สาธารณะและความสุจริตด้วย"
วีรวัฒน์สรุปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ว่าผู้พิพากษาจำเป็นต้อง "มองนอกตัวบทกฎหมายนิดนึง" เพื่อให้เห็นความจริงที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของชาวบ้าน เพราะถ้ายึดกรอบกฎหมายอย่างเดียว ทุกคนที่มีความเห็นต่างล้วนผิดหมด
ตราบใดที่การใช้กฎหมายยังถูกมองว่าเป็น "เกมการเมือง" ที่ผู้มีอำนาจสามารถนำมาใช้ฟ้องร้องเพื่อกลั่นแกล้งและบั่นทอนกำลังของฝ่ายตรงข้ามได้ ความยุติธรรมที่แท้จริงก็จะไม่เกิดขึ้น
การต่อสู้ของคนตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้จึงเป็นมากกว่าคดีความส่วนบุคคล แต่เป็นการต่อสู้เพื่อ หลักนิติธรรม (Rule of Law) ที่กฎหมายต้องมีความเท่าเทียมกัน และไม่สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะได้อีกต่อไป
นี่คือมุมมองของคนที่ช่วยเหลือประชาชนตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่นอกสภา เขาไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไปในการทำเรื่องกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก รวมถึงเป็นปากเสียงให้คนตัวเล็กตัวน้อย
เพราะในสภา 1 ใน 3 เสาหลักของประชาธิปไตยก็มี สส. ที่เห็นว่าเรื่องกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากเป็นเรื่องที่สำคัญ และกำลังท้าทายระบบการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียมในสังคมไทย
ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือ "ลูกเกด" สส.พรรคประชาชน (ปชน.) หนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่เดินหน้าผลักดันกฎหมายต่อต้านการฟ้องปิดปาก (Anti-Strategic Lawsuits Against Public Participation: Anti-SLAPP) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความจำเป็นเร่งด่วน สถานะล่าสุดของร่างกฎหมาย และความคาดหวังที่จะเห็นกฎหมายฉบับนี้สร้างหลักนิติธรรมที่เข้มแข็งและพื้นที่ปลอดภัยให้แก่ประชาชนในการตรวจสอบผลประโยชน์สาธารณะ
สส.ชลธิชา เริ่มต้นด้วยการวาดภาพสถานการณ์ที่เธอเห็นมาตลอดหลายปี ภาพของคนธรรมดาสามัญที่เคยลุกขึ้นมาส่งเสียงเพื่อชุมชน เพื่อปกป้องป่าไม้ เพื่อตรวจสอบโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่อาจทำลายทรัพยากร แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับเอกสารหมายศาล
"ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คดีฟ้องร้องเพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะมัน สูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ" น้ำเสียงของเธอย้ำถึงตัวเลขที่น่าตกใจ "คดีเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเมือง แต่เกิดขึ้นกับ พ่อแม่พี่น้องประชาชนจำนวนมาก ที่แค่ลุกขึ้นมาเรียกร้อง แม้แต่นักข่าวที่พยายามเปิดโปงการคอร์รัปชันก็โดน"
เธอเรียกคดีเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมาว่า "คดีฟ้องปิดปาก" เพราะผู้ฟ้องร้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทเอกชน ที่มีทุนมหาศาล ไม่ได้ต้องการ 'ความยุติธรรม' แต่ต้องการส่งสารแห่งความหวาดกลัว เพื่อให้คนอื่น ๆ "เซ็นเซอร์ตัวเอง" (Self-censorship)
สส.ชลธิชา ชวน จินตนาการถึงชาวบ้านคนหนึ่งที่ต้องเอาที่นาไปจำนองเพื่อสู้คดีหมิ่นประมาททางอาญาที่ยืดเยื้อ 5-10 ปี เพียงเพราะเขาตั้งคำถามถึงการปล่อยมลพิษในแม่น้ำ ต้นทุนของการเป็นพลเมืองดีในสังคมนี้มัน สูงเกินไป จนใครหลายคนต้องยอม "ชัตดาวน์ตัวเอง" แล้วเลือกที่จะเงียบ เมื่อเห็นความไม่ชอบมาพากล
สส.ชลธิชาชี้ให้เห็นถึงความย้อนแย้งที่บาดลึก เธอกล่าวว่าประเทศไทยมักนำเสนอตัวเองในเวทีโลกว่าเป็นประเทศที่มี "แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชนทางธุรกิจ" (NAP on BHR)
"เราไปประกาศในเวทีโลกว่า บริษัทเอกชนต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนในการทำธุรกิจ แต่ในทางกลับกัน เสาหลักหนึ่งที่เราบอกว่าจะคุ้มครอง คือ 'นักปกป้องสิทธิ์' กลับถูกฟ้องร้องดำเนินคดีมากมายก่ายกองอยู่ข้างในประเทศ"
นี่คือรอยปริแตกของภาพลักษณ์ระดับชาติ ที่กฎหมาย Anti-SLAPP จะเข้ามายืนยันว่า ประเทศไทยจริงจังกับการคุ้มครองพลเมืองที่กล้าหาญ ไม่ใช่แค่ถ้อยคำสวยหรูบนกระดาษ
แม้จะมีความท้าทาย แต่ สส.ชลธิชา ยืนยันว่าการต่อสู้ยังไม่จบลง
"ร่างกฎหมาย Anti-SLAPP ของพรรคประชาชน ได้รายชื่อ สส. ครบถ้วนแล้ว และได้ ยื่นจ่อคิวเข้าสู่สภาเรียบร้อยแล้ว" เธอประกาศด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว
ความคาดหวังของพรรคประชาชนคือ อย่างน้อยที่สุด กฎหมายนี้จะต้องเข้าสู่การพิจารณา วาระ 1 ก่อนที่อาจจะมีการยุบสภา การผลักดันนี้ไม่ใช่แค่การทำงานในสภา แต่เป็นการส่งสัญญาณให้ประชาชนที่กำลังสู้คดีอยู่ทั่วประเทศว่า "พวกเขาไม่ได้สู้คนเดียว"
กฎหมาย Anti-SLAPP จะมอบอะไรให้สังคม? สส.ชลธิชา ไม่ได้มองว่านี่เป็นแค่มาตรการทางกฎหมาย แต่เป็นการสร้างหลักประกันทางความรู้สึก
"กฎหมายนี้จะเพิ่ม ความมั่นใจ ให้กับทุกคนที่ต้องการลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ มันจะช่วย ลดต้นทุน ในการปกป้องผลประโยชน์สาธารณะที่สูงลิบ"
เหนือสิ่งอื่นใด คือการสร้าง "พื้นที่ปลอดภัย" ให้เพียงพอ ที่พลเมืองจะสามารถร่วมกันตรวจสอบประเด็นที่อ่อนไหวที่สุดในสังคมไทยได้ ทั้งโครงการขนาดใหญ่ และการทุจริตคอร์รัปชัน
เธอสรุปด้วยภาพที่ทรงพลังว่า การมีอยู่ของกฎหมายฉบับนี้จะเปิดช่องให้ประชาชนรู้สึกว่าตนเอง "หวงแหน และเป็นส่วนหนึ่งของประเทศนี้" ที่สามารถลุกขึ้นมาช่วยกันปกป้องผลประโยชน์ของประเทศได้ โดยไม่ต้องอยู่แบบ "เงียบๆ" หรือรู้สึก "ไม่ชอบเขาอยู่"
เมื่อถูกถามถึงความท้าทายว่า กฎหมายไทยมักถูกมองว่า "ดิ้นได้" และอาจมีช่องโหว่ให้ผู้มีอำนาจใช้เป็นเครื่องมือ สส.ชลธิชา ยอมรับว่านี่คือความจริงที่ต้องเผชิญ
"นี่เป็นความท้าทายหลักที่เกิดขึ้นกับ ทุกๆ กฎหมาย" เธอกล่าว "แต่ทุกกฎหมายมี พลวัต ของมันอยู่แล้ว สภาฯ จึงต้องทำหน้าที่ อุดช่องโหว่ให้มากที่สุด ตามเจตนารมณ์ และต้องทบทวนให้ทันสมัยตาม มาตรฐานสากล อยู่เสมอ"
ชลธิชา แจ้งเร็ว เชื่อมั่นว่า การมีกฎหมาย Anti-SLAPP ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คือการวางรากฐานเพื่อสร้าง หลักนิติธรรม (Rule of Law) ของไทยให้ เข้มแข็งมากขึ้น เพราะกฎหมายที่มีอยู่ ไม่ควรถูกใช้เพียงเพื่อปิดกั้นและปิดปากประชาชน
เสียงของ สส.ชลธิชา ในสภา จึงไม่ใช่แค่การพูดในฐานะ สส. แต่คือเสียงแทน "ปากคำของพลเมือง" ที่ต้องการสิทธิพื้นฐานในการปกป้องผืนดินและบ้านของตนเอง โดยไม่ต้องหวาดระแวงว่าวันรุ่งขึ้น จะมีหมายศาลมาเคาะประตูบ้าน
การใช้กฎหมายเพื่อฟ้องปิดปาก (SLAPP) คือดาบสองคมที่ผู้มีอำนาจใช้กดทับเสียงคนตัวเล็กตัวน้อย ผู้ลุกขึ้นท้าทายและปกป้องสิทธิ์ของชุมชนและสาธารณะ แต่ผลลัพธ์กลับเป็นความทุกข์และการถูกจำกัดเสรีภาพ การต่อสู้เพื่อหลักนิติธรรมและกฎหมาย Anti-SLAPP จึงไม่ใช่แค่การปกป้องสิทธิ์ส่วนตัว แต่คือการสร้าง "บ้าน" ของความเป็นธรรมและพื้นที่ปลอดภัยให้กับทุกคนในสังคมไทย ขอให้เสียงของคนตัวเล็กไม่ถูกกลืนหาย แต่ดังขึ้นเป็นพลังเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ดังที่ ทนายวีรวัฒน์ สส.ชลธิชา รวมถึงอีกหลายคนที่มีจิตใจแน่วแน่ที่พร้อมจะผลักดันให้คนเสมอหหน้ากันผ่านกฎหมาย