svasdssvasds

PRTR กฎหมายแฉมลพิษ หมดยุคปกปิดข้อมูล ประชาชนรู้ทันคนเอาเปรียบ

PRTR กฎหมายแฉมลพิษ หมดยุคปกปิดข้อมูล ประชาชนรู้ทันคนเอาเปรียบ

PRTR กฎหมายเปิดเผยข้อมูลมลพิษฉบับแรกของไทย ยุคปกปิดต้องจบลง บังคับแหล่งกำเนิดพิษรายงาน "ใครปล่อยอะไร" อาวุธข้อมูลให้ประชาชน ปกป้องสุขภาพ-สิ่งแวดล้อม

SHORT CUT

  • PRTR เป็นกฎหมายเปิดเผยข้อมูลมลพิษฉบับแรกของไทย เพื่อคืนสิทธิการรับรู้ให้ประชาชน
  • กฎหมายบังคับให้แหล่งกำเนิดมลพิษต้องรายงานข้อมูลสู่ฐานข้อมูลระดับชาติ และมีบทลงโทษที่จริงจัง
  • กฎหมายนี้เกิดขึ้นจากแรงผลักดันของประชาชน และผ่านการพิจารณาด้วยมติเอกฉันท์ในวาระแรก

PRTR กฎหมายเปิดเผยข้อมูลมลพิษฉบับแรกของไทย ยุคปกปิดต้องจบลง บังคับแหล่งกำเนิดพิษรายงาน "ใครปล่อยอะไร" อาวุธข้อมูลให้ประชาชน ปกป้องสุขภาพ-สิ่งแวดล้อม

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช โฆษกคณะกรรมาธิการฯ เปิดเผยว่าร่างพระราชบัญญัติการรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม (Pollutant Release and Transfer Register: PRTR) ผ่านการพิจารณาของกรรมาธิการครบทั้ง 40 มาตราเรียบร้อยแล้ว โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้สรุปสาระสำคัญไว้ 8 หมวด เพื่อเตรียมเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร นำเข้าสู่วาระ 2 และ 3 ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ถือเป็นกฎหมายเปิดเผยข้อมูลมลพิษฉบับแรกของไทยที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างประชาชนและสมาชิกรัฐสภาอย่างแท้จริง โดยมีเป้าหมาย “ยกระดับการจัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศ” และยืนยันสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลมลพิษอย่างไม่เคยมีมาก่อน 

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ ระบุว่า กฎหมาย PRTR ฉบับนี้จะเขย่าวงการมลพิษไทยอย่างไม่เคยปรากฏ เพราะบังคับให้แหล่งกำเนิดมลพิษทุกรายต้องเปิดเผยข้อมูล “ใครปล่อยอะไรออกมาบ้าง” ให้สาธารณชนรับทราบ เป็นการ คืนสิทธิการรู้ข้อมูลข่าวสารให้กับประชาชนเต็มรูปแบบ ตามหลักการ “สิทธิชุมชนในการรับรู้” ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ “ยุคข้อมูลมลพิษปกปิดต้องจบลง” โฆษกกรรมาธิการฯ กล่าว “ประชาชนมีสิทธิล่วงรู้ว่าดิน น้ำ อากาศของตนปนเปื้อนอะไร เพื่อปกป้องสุขภาพและคุณภาพชีวิตของชุมชน” ร่างกฎหมายนี้สอดคล้องกับหลักการสากลทั้งอนุสัญญาสตอกโฮล์มและปฏิญญาริโอที่ไทยร่วมลงนาม และไม่มีบทใดจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลแม้แต่น้อย ดังนั้นทุกฝ่ายควรเห็นพ้องต้องกันว่าถึงเวลามีกฎหมายเปิดข้อมูลพิษฉบับนี้เสียที

มลพิษพุ่งไม่หยุด – 4 ทศวรรษประชาชนรอความหวัง

ประเทศไทยเผชิญวิกฤตมลพิษรุนแรงและซับซ้อนมายาวนาน ฝุ่นพิษ PM2.5 คลุ้งเมือง น้ำเน่าเสียสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ขยะสารเคมีอันตรายกองโต เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไร้ทางแก้เด็ดขาดตลอด กว่า 4 ทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกภูมิภาค สถานการณ์นี้เองเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ภาคประชาชนรวมพลังลุกขึ้นเรียกร้อง “หยุดปกปิดมลพิษ” และผลักดันกฎหมาย PRTR จนเกิดเป็นร่างกฎหมายฉบับประชาชนที่มีผู้ร่วมลงชื่อกว่า 11,685 คน ยื่นต่อรัฐสภาเมื่อต้นปี 2567 ควบคู่กับร่างของภาครัฐสภาที่มีเจตนารมณ์เดียวกัน

หัวใจของกฎหมาย PRTR คือการสร้าง ฐานข้อมูลมลพิษระดับชาติ ที่รวบรวมการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายสารพิษทุกชนิดจากแหล่งกำเนิดทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า เหมืองแร่ ยานพาหนะ หรือภาคเกษตรเคมี ข้อมูลเหล่านี้จะถูกบันทึกและเปิดเผยผ่านระบบออนไลน์สาธารณะ ให้ประชาชน นักวิชาการ หน่วยงานท้องถิ่น ไปจนถึงนักลงทุนสามารถเข้าถึงได้ง่าย โปร่งใส ตรวจสอบได้ และฟรี เพื่อร่วมกันเฝ้าระวังมลพิษและวางแผนรับมือภัยสิ่งแวดล้อมเชิงรุก “ข้อมูลมลพิษคืออาวุธของสังคม” ร.ต.อ.วัฒนรักษ์กล่าว “เมื่อประชาชนรู้เท่าทันความเสี่ยงได้ทันท่วงที ก็จะป้องกันตนเองและกดดันให้ทุกภาคส่วนรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น”  นี่คือแนวคิด “Community Right-to-Know” ที่กฎหมายฉบับนี้หยิบยกขึ้นมาปฏิบัติให้เกิดผลจริง ยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมไทยสู่ระดับสากล 

คุมเข้มแหล่งพิษ – บังคับใช้จริงคือบทพิสูจน์

เนื้อหาของร่างกฎหมายกำหนดกลไกชัดเจนเพื่อให้ “พูดจริงทำจริง” ในการเปิดข้อมูลมลพิษทั่วไทย แต่ละปีผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ ต้องรายงานชนิดและปริมาณสารพิษที่ตนปล่อยสู่อากาศ น้ำ หรือดิน รวมถึงการกำจัดเคลื่อนย้ายของเสียอันตราย ต่อหน่วยงานกำกับดูแล ก่อนส่งต่อข้อมูลให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำฐานข้อมูลกลางอย่างน้อยปีละครั้ง  หากใครเพิกเฉยไม่ยอมรายงาน หรือส่งข้อมูลไม่ครบถ้วนตามกำหนด มีโทษปรับทางปกครอง ส่วนผู้ใดจงใจแจ้งข้อมูลเท็จหรือปกปิดความจริง เจอโทษอาญา ตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยจะมีกฎหมาย “เขี้ยวเล็บ” เอาผิดผู้ก่อมลพิษที่ปกปิดข้อมูลต่อสาธารณะอย่างจริงจัง

ร่าง พ.ร.บ. ยังตั้งกลไกกำกับดูแลในระดับนโยบาย โดยให้มี “คณะกรรมการข้อมูลการรายงานและการปล่อยสารมลพิษ” 15 คน มีรัฐมนตรีทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นประธาน ทำหน้าที่ออกเกณฑ์และมาตรการความร่วมมือระหว่างหน่วยราชการเพื่อให้ระบบฐานข้อมูลมลพิษนี้ทำงานเต็มประสิทธิภาพ กรมควบคุมมลพิษ จะเป็นหน่วยงานหลักดูแลฐานข้อมูลและประเมินความเสี่ยงจากมลพิษ พร้อมเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะผ่านเว็บไซต์หรือช่องทางที่ประชาชนเข้าถึงง่ายที่สุด นอกจากนี้ยังกำหนดให้หน่วยงานรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องประเมินมลพิษที่ไม่มีแหล่งกำเนิดแน่นอน (เช่น มลพิษหมอกควัน) เป็นรายปี เพื่อเติมข้อมูลช่องว่างให้ครอบคลุมทุกด้าน เป้าหมายสูงสุด คือให้ข้อมูลมลพิษครบถ้วน ถูกต้อง ทันเวลา และถูกนำไปใช้แก้ปัญหาได้จริง ทั้งในการวางแผนป้องกันภัยสิ่งแวดล้อม-สุขภาพของภาครัฐ และให้ภาคเอกชนตรวจสอบปรับปรุงกระบวนการผลิตของตัวเอง ลดความเสี่ยงและเพิ่มขีดแข่งขันได้ในระยะยาว 

อย่างไรก็ดี โฆษกกรรมาธิการฯ เตือนว่าการเดินทางตรงนี้เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การบังคับใช้จริงหลังจากกฎหมายประกาศใช้  ซึ่งจะต้องอาศัยความจริงจังต่อเนื่องจากทุกฝ่าย “กฎหมาย PRTR จะไม่มีความหมาย หากบังคับใช้ไม่จริงจัง” ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ย้ำ พร้อมฝากถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เตรียมความพร้อมทั้งทรัพยากรและบุคลากรในการรองรับภารกิจใหม่นี้ เช่น ระบบไอทีฐานข้อมูล เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล และการประสานงานกับชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศ ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนเข้ามาใช้สิทธิตรวจสอบข้อมูลมลพิษของตนตามที่กฎหมายเปิดช่องไว้

มติเอกฉันท์วาระแรก สังคมจับตาวาระสุดท้าย

ในแง่การเมือง กฎหมาย PRTR ถือเป็นกรณีตัวอย่างหาได้ยากที่ ทุกพรรคทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน โดยในการโหวตรับหลักการวาระแรก (5 ก.ย. 2568) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์ 434 ต่อ 0 เสียง (งดออกเสียง 4) ให้ผ่านร่างฉบับนี้ไปสู่ขั้นตอนกรรมาธิการทันที ถือเป็นสัญญาณบวกว่าผู้แทนของประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของปัญหามลพิษและสิทธิการรับรู้ข้อมูลของประชาชนอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันแรงหนุนจากภาคประชาชนก็ชัดเจนไม่แพ้กัน นับตั้งแต่รายชื่อหมื่นกว่าคนที่ยื่นสภาฯ ไปจนถึงองค์กรสิ่งแวดล้อมหลายกลุ่มที่ร่วมเป็น กรรมาธิการวิสามัญฯ 13 คนจากทั้งหมด 39 คน ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับ ส.ส. ในกรรมาธิการเพื่อผลักดันร่างนี้อย่างเต็มที่ เรียกได้ว่ากฎหมายฉบับนี้ “ประชาชนร่วมร่าง” อย่างแท้จริง เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

หลังจากใช้เวลาพิจารณาในชั้นกรรมาธิการเพียงราว 2 เดือน ร่างกฎหมาย PRTR ก็เสร็จสิ้นขั้นตอนอย่างรวดเร็วและไม่มีการแก้ไขหลักการใหญ่ที่เสนอมาแต่แรก นางเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ตัวแทนภาคประชาชน (มูลนิธิบูรณะนิเวศ EARTH) ซึ่งเป็นหนึ่งในรองประธานกรรมาธิการฯ ระบุว่าคณะกรรมาธิการได้พยายามรักษาเจตนารมณ์หลักทุกประการไว้อย่างครบถ้วน แม้จะมีความกังวลจากบางฝ่ายที่อาจได้รับผลกระทบ เช่น ภาคอุตสาหกรรมที่เคยเสนอว่าใช้แค่มาตรการประกาศกระทรวงก็เพียงพอ แต่ที่ประชุมกรรมาธิการเสียงข้างมากยืนยันตรงกันว่า การออกเป็นพระราชบัญญัติซึ่งมีผลบังคับใช้ต่อทุกหน่วยงานเท่านั้น จึงจะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ ทีมผลักดัน PRTR ทั้งในสภาและนอกสภาจึงหวังอย่างยิ่งว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะไม่สะดุดหรือล่าช้าอีกต่อไป และจะได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมของทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาโดยราบรื่นในลำดับถัดไป 

“นี่คือกฎหมาย win-win ของทุกฝ่าย” นายนิวัติไชย เกษมมงคล รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรฯ เคยกล่าวไว้ว่ากฎหมาย PRTR ไม่ได้สร้างภาระเกินจำเป็นแก่ผู้ประกอบการ แต่กลับจะ สร้างความเชื่อมั่น ให้ภาคอุตสาหกรรมและนักลงทุนผ่านความโปร่งใสตรวจสอบได้ และช่วยให้หน่วยงานรัฐมีข้อมูลวางแผนจัดการมลพิษได้แม่นยำขึ้น  ด้าน โฆษกกรรมาธิการฯ วัฒนรักษ์ เสริมว่าหากกฎหมายนี้ผ่านสภาและมีผลใช้บังคับ คนไทยจะได้เครื่องมือปกป้องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา “สิทธิพื้นฐานในอากาศสะอาด น้ำสะอาด จะไม่ได้เป็นแค่คำพูดลอยๆ อีกต่อไป” เขากล่าว “เพราะประชาชนจะมีข้อมูลอยู่ในมือ สามารถลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตัวเอง และเอาผิดผู้ก่อมลพิษที่ทำลายสิ่งแวดล้อมของเราได้อย่างแท้จริง” คำมั่นสัญญานี้กำลังจะถูกทดสอบในการประชุมรัฐสภาเร็วๆ นี้ ท่ามกลางความคาดหวังของสังคมไทยที่ต่างจับตาว่า ปี 2569 ที่กำลังใกล้เข้ามา จะเป็นปีแห่งการได้ใช้ “กฎหมายแฉมลพิษ” ฉบับประวัติศาสตร์นี้จริงหรือไม่
 

related