svasdssvasds

กต.สหรัฐฯ หวนใช้แบบอักษร “Times New Roman” โวแก้ความสิ้นเปลือง

กต.สหรัฐฯ หวนใช้แบบอักษร “Times New Roman” โวแก้ความสิ้นเปลือง

กระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ สั่งหน่วยงานและเจ้าหน้าที่กลับไปใช้ฟอนต์ "Times New Roman" จากเดิมที่เคยใช้ “Calibri”

SHORT CUT

  • มาร์โก รูบิโอ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทูตกลับมาใช้ฟอนต์ Times New Roman ในเอกสารราชการอีกครั้ง โดยให้เหตุผลว่าฟอนต์ Calibri (ที่เริ่มใช้ในปี 2023) ดูไม่เป็นทางการเมื่อเทียบกับ Times New Roman และต้องการฟื้นฟูความเป็นมืออาชีพตามคำสั่ง "One Voice" ของประธานาธิบดี
  • การยกเลิกฟอนต์ Calibri ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่ถูกระบุว่าเป็นความตั้งใจที่จะยกเลิก "โครงการนโยบายความหลากหลาย (DEIA)" ที่รัฐบาลชุดใหม่มองว่าสิ้นเปลือง ทั้งที่เหตุผลเดิมของการใช้ Calibri ในสมัยรัฐบาลไบเดน คือเพื่อความเข้าถึงง่ายสำหรับผู้พิการและผู้ที่มีปัญหาทางสายตา
  • วามเคลื่อนไหวนี้สะท้อนภาพใหญ่ของรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มุ่งเป้าล้มเลิกโครงการด้านความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วม (DEI) ในหน่วยงานรัฐบาลกลาง ทั้งการตัดงบประมาณและปลดเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยมองว่านโยบายเหล่านี้บิดเบือนระบบคุณธรรมและการตัดสินใจบนพื้นฐานความสามารถ

กระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ สั่งหน่วยงานและเจ้าหน้าที่กลับไปใช้ฟอนต์ "Times New Roman" จากเดิมที่เคยใช้ “Calibri”

บันทึกข้อความจาก “มาร์โก รูบิโอ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ระบุว่า การตัดแบบอักษร Calibri ออกจากการสื่อสารทางราชการจะช่วยยกเลิกอีกหนึ่งโครงการที่สิ้นเปลือง อย่าง โครงการนโยบายความหลากหลาย ความเสมอภาค การมีส่วนร่วมและการเข้าถึง (Diversity, Equity, Inclusion, and Accessibility : DEIA) ได้

CREDIT : LucasFonts

นักการทูตสหรัฐฯ ได้รับคำสั่งให้กลับมาใช้แบบอักษร Times New Roman ในเอกสารทางการ โดย “มาร์โก รูบิโอ” รัฐมนตรีต่างประเทศ กล่าวว่า การตัดสินใจของรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่เปลี่ยนไปใช้แบบอักษร Calibri นั้น เป็นความหลากหลายที่สิ้นเปลือง

CREDIT : REUTERS

ก่อนหน้านี้ กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ “แอนโทนี บลิงเคน” รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศคนก่อนหน้า ได้เปลี่ยนมาใช้แบบอักษร Calibri ในปี 2023 โดยอ้างว่า แบบอักษรประเภทซาน เซอริฟ (Sans Serif) ซึ่งเป็นแบบอักษรสมัยใหม่ที่ไม่มีขีดที่ปลายอักษรนี้ เข้าถึงได้ง่ายกว่าสำหรับผู้พิการ เนื่องจากไม่มีเชิงมากเกินไป และยังเป็นแบบอักษรเริ่มต้นในผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์

 

อย่างไรก็ตาม ในเอกสารลงวันที่ 9 ธันวาคม ซึ่งส่งถึงสถานทูตและสถานกงสุลของสหรัฐฯ ทุกแห่ง ระบุว่า รูปแบบของแบบอักษร Calibri ส่งผลต่อความเป็นทางการของเอกสารราชการ และ Calibri ดูไม่เป็นทางการเมื่อเทียบกับแบบอักษร Times New Roman แบบอักษรเซริฟ (Serif) ซึ่งเป็นแบบอักษรที่มีเชิงหรือเส้นตกแต่งเล็กๆ ที่ปลายตัวอักษร

เอกสารระบุว่า เพื่อฟื้นฟูความเหมาะสมและความเป็นมืออาชีพให้กับเอกสารลายลักษณ์อักษณของกระทรวงและยกเลิกอีกหนึ่งโครงการ DEIA ที่สิ้นเปลือง กระทรวงจึงกลับมาใช้แบบอักษร Times New Roman เป็นแบบอักษรมาตรฐานอีกครั้ง

เนื้อหาในเอกสารยังระบุเพิ่มเติมว่า มาตรฐานการจัดรูปแบบนี้สอดคล้องกับคำสั่ง One Voice for America’s Foreign Relations ของประธานาธิบดี ซึ่งเน้นย้ำถึงความรับผิดชอบของกระทรวงในการนำเสนอเสียงที่เป็นเอกภาพและเป็นมืออาชีพในการสื่อสารทุกประเภท

รายงานข่าวจากสื่อสหรัฐฯ ระบุว่า การเปลี่ยนมาใช้แบบอักษร Calibri ในปี 2023 นั้น ได้รับคำแนะนำจากกลุ่มผู้มีความหลากหลายและผู้พิการในรัฐบาลสหรัฐฯ โดยงานวิจัยบางชิ้นชี้ว่า แบบอักษรซาน เซอริฟ อย่าง Calibri นั้นอ่านง่ายกว่าสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นบางประเภท

กระทรวงการต่างประเทศยังไม่ตอบคำขอแสดงความคิดเห็นของสำนักข่าวรอยเตอร์สในทันที

CREDIT : REUTERS

หลังจากเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อล้มเลิกโครงการ DEI (ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วม) ของรัฐบาลกลาง และกีดกันโครงการเหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้นในภาคเอกชนและการศึกษา รวมถึง การสั่งปลดเจ้าหน้าที่ด้านความหลากหลายในหน่วยงานของรัฐบาลกลางและตัดงบประมาณสนับสนุนโครงการต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก

นโยบาย DEI แพร่หลายมากขึ้นหลังจากการประท้วงทั่วประเทศในปี 2020 ต่อต้านกรณีตำรวจสังหารคนผิวดำที่ไม่มีอาวุธ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยทรัมป์และนักวิจารณ์โครงการด้านความหลากหลาย ระบุว่า มาตรการเหล่านี้เลือกปฏิบัติต่อคนผิวขาวและผู้ชาย และบิดเบือนการตัดสินใจที่ควรตั้งอยู่บนความสามารถ

ขณะที่ผู้สนับสนุน DEI มองว่า มาตรการเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือต่อต้านอคติที่ยังคงฝังอยู่ในสังคมที่เรียกตัวเองว่าเป็นกลางทางสีผิวและยึดหลักความสามารถ

ที่มา : theguardian

related